เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย ได้เปิดเวทีเสวนาใน Thailand Pavilion @ COP30 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ซึ่งวันนี้มีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจหลายหัวข้อ
           ช่วงเช้าเวลา 11.00 น. (เวลาบราซิล) เปิดเวทีในหัวข้อ “Undoing the Damage, The Retrofit Urban Revolution with Nature: Action Pathways for Livable, Thriving, and Resilient Cities โดยมีตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสังคมเมืองและภูมิสถาปนิก มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคล ในการร่วมกันแก้ไขความเสียหาย การปฏิวัติสังคมเมืองที่ปรับปรุงใหม่ด้วยธรรมชาติ และแนวทางการปฏิบัติเพื่อเมืองที่น่าอยู่และยืดหยุ่นทางด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ในการเปลี่ยนผ่านจาก grey infrastructure ไปสู่ green infrastructure อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสามารถพิจารณาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของบริบทของประเทศไทย และสะท้อน “หากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองสามารถจ้างสถาปนิกมาออกแบบที่พักอาศัยของตนเองได้ พวกเขาก็ย่อมควรที่จะจ้างภูมิสถาปนิกมาออกแบบเมืองของพวกเราทุกคนได้เช่นกัน”
ในชุมชนหรือเมืองเปราะบาง เช่น Kibera (Nairobi) และ Villa 20 (Buenos Aires) ที่ชาวบ้านร่วมกันปรับปรุงพื้นที่ด้วยพืชพื้นถิ่นและโครงสร้างสีเขียวขนาดเล็ก ช่วยลดความร้อน ปรับปรุงคุณภาพอากาศ และสร้างความสามัคคีในชุมชน แสดงให้เห็นว่า Nature-based Solutions (NbS) สามารถขับเคลื่อนจากชุมชนได้จริง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเมืองที่ยั่งยืน รวมทั้งพื้นที่สาธารณะสีเขียว คือ แนวทาง NbS ที่สร้างความเท่าเทียมและเสริมความยืดหยุ่นเมือง ช่วยควบคุมน้ำท่วม ปรับปรุงคุณภาพอากาศ ดูดซับคาร์บอน และเพิ่มสุขภาวะของประชาชน ลงทุนเพียง 1 ดอลลาร์สามารถให้ผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมมากกว่า 4–10 เท่า โดยสิงคโปร์เป็นตัวอย่างในการวางแผนเมืองในระยะยาวเพื่อมุ่งสู่ “City in Nature” โดยผสานแนวทาง NbS ในการจัดการน้ำท่วม การขยายพื้นที่สีเขียวและทางเชื่อมสวนสาธารณะ ภายใต้ SG Green Plan 2030 เพื่อสร้างเมืองที่ น่าอยู่ ยืดหยุ่น และยั่งยืน ด้วยการวางแผนบูรณาการระยะ 40–50 ปี
ช่วงบ่ายเริ่มการเสวนาในหัวข้อ ““Nature at Work: Advancing Climate Resilience through Ecosystem-Based Solutions” โดยมีตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิในวงการภูมิสถาปนิกจากประเทศแคนาดาและบราซิล รวมถึงตัวแทนจากภาคหน่วยงานราชการไทย มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เสวนาในการใช้แนวทางธรรมชาติ ผ่านระบบนิเวศที่สมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งตอกย้ำถึงความสำคัญในการบูรณาการระหว่างหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายทางด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เน้นย้ำ “ธรรมชาติจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อเราทำงานร่วมกับธรรมชาติเช่นกัน นอกจากนี้ ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย หากแต่มันคือการลงทุนที่สำคัญ”
“การออกแบบเมืองอย่างยั่งยืน” ต้องอาศัย วิทยาศาสตร์และธรรมชาติร่วมกัน โดยใช้ระบบนิเวศเป็นพื้นฐานของการออกแบบ สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านภูมิอากาศและเศรษฐกิจสีเขียว
ตัวอย่างแนวทาง Ecosystem-Based Adaptation (EbA) ของประเทศไทย โดยบูรณาการธรรมชาติ ข้อมูล และชุมชน เพื่อเสริมความยืดหยุ่นด้านน้ำในลุ่มน้ำชายฝั่งตะวันออก ผ่านการประเมิน CRVA และร่วมออกแบบมาตรการ 11 ด้านกับชุมชน ผลลัพธ์ช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วม-แล้ง เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับสู่แผนแม่บทลุ่มน้ำ 22 แห่ง ธรรมชาติถูกมองเป็น “การลงทุน” เพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่ต้นทุน
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของการประชุม COP 30 และความเคลื่อนไหวใน Thailand Pavilion ได้ทาง Facebook กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ทุกวันตลอดการประชุม
       “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”