‘ขยะกำพร้า’ เรื่องเล่าจากถุงดำ สร้างความหวังพลังงานทดแทน
“ทิ้งขยะให้ถูกถัง” “คัดแยกขยะก่อนทิ้ง” คือ วลีที่คุ้นหูคนไทยมาหลายสิบปี จนเกิดพฤติกรรมการแยกขยะที่เริ่มมองเห็นอย่างเป็นระบบในสังคมมากขึ้น แต่เมื่อมองให้ละเอียดถึงขยะที่เราได้แยกไว้ จะพบขยะอีกหนึ่งประเภทที่ถูกมองข้ามไปโดยเปล่าประโยชน์
ขยะประเภทนี้ ถึงแม้จะไม่เน่า ไม่เสีย แต่ก็ไร้คนต้องการ โรงงานรีไซเคิลไม่รับซื้อ เพราะไม่คุ้มค่าในการแปรรูป ขยะประเภทนี้จึงถูกผลักไสออกนอกระบบอย่างเงียบ ๆ กลายเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครรับ และไม่มีที่ไป
แล้วขยะเหล่านี้ควรไปอยู่ที่ไหน? คำถามนี้เองที่จุดประกายโครงการ “ขยะกำพร้าสัญจร” ภายใต้แนวคิดที่ว่า แม้ขยะจะไร้มูลค่าในตลาด แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีคุณค่า และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในฐานะพลังงานทดแทน
#การเดินทางของขยะกำพร้าที่ใคร ๆ ก็ไม่รัก
จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับงานด้านการจัดการขยะในโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ สมบูรณ์ กิตติอนงค์ พบว่า มีขยะอีกหลายประเภทที่ไม่เป็นที่ต้องการของโรงงานแปรรูป และสุดท้ายต้องจบลงที่บ่อฝังกลบซึ่งนับวันมีแต่จะสะสมพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “ขยะกำพร้า” “ความหมายก็คือ ใคร ๆ ก็ไม่รัก คนนั้นก็ไม่เอา โรงงานรีไซเคิลก็ไม่สน แต่ความจริงแล้วมันยังสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงได้”
จุดนี้เองทำให้สมบูรณ์ริเริ่มโครงการ “ขยะกำพร้าสัญจร” โดยเปิดรับขยะจากประชาชนทั่วไปที่ช่วยกันคัดแยกมาแล้ว เพื่อนำไปบดย่อยและผลิตเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงงานปลายทาง ได้แก่ โรงงานปูนซิเมนต์และโรงไฟฟ้า ซึ่งมีเตาเผาระบบปิด ใช้อุณหภูมิเผาไหม้สูง และลดการปล่อยมลพิษ
สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่ากระบวนการจัดการขยะคือ หัวใจของผู้ร่วมโครงการ หลายคนยอมควักเงินส่วนตัวเพื่อส่งขยะจากต่างจังหวัดมาให้ ทั้งที่ไม่มีรางวัลตอบแทน ไม่มีแต้มแลกไข่ เพราะพวกเขาเชื่อว่าขยะเหล่านั้นจะไปสู่จุดหมายปลายทางที่เหมาะที่ควร เฟซบุ๊กแฟนเพจและกลุ่มไลน์เล็ก ๆ ของโครงการขยะกำพร้าจึงค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นจากความไว้ใจของผู้คนที่ส่งต่อกันปากต่อปาก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม จันทบุรี และระยอง “มีคุณครูเกษียณท่านหนึ่งโทรมาติดตามตลอดว่า ขยะที่เขาส่งมานั้นถึงหรือยัง เขายอมเสียเงินค่าพัสดุร้อยกว่าบาท เพื่อส่งขยะมาให้โครงการ แต่กลัวว่าขยะจะไปตกหล่นที่ไหนหรือเปล่า จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไหม ผมฟังแล้วน้ำตาคลอเลยว่า ในสังคมเรายังมีคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และรับผิดชอบต่อสังคมจริง ๆ”
#Recovery Energy เมื่อขยะมาแทนที่ถ่านหิน
ก่อนหน้านี้เราอาจคุ้นเคยกับแนวคิดจัดการขยะแบบ 3R (Reduce: ลดการใช้, Reuse: ใช้ซ้ำ, Recycle: แปรรูปกลับมาใช้ใหม่) แต่ขยะอีกหลายประเภทที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์ใด ๆ แทนที่จะปล่อยให้เป็นภาระสิ่งแวดล้อม สมบูรณ์มองว่า ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถทำได้คือ Recovery Energy หรือการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานนั่นเอง
หลักการสำคัญของการจัดการขยะพลังงานคือ ต้องเป็นขยะแห้ง ไม่เน่า เผาได้ เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ซึ่งสามารถใช้ทดแทนถ่านหินในโรงงานได้โดยตรง แต่สิ่งที่ต้องระวังคือขยะอันตราย เช่น แบตเตอรี่ ท่อ PVC ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เศษแก้ว เศษโลหะ เพราะอาจทำให้เครื่องจักรเสียหายได้
หากเทียบกันหมัดต่อหมัด ขยะกำพร้า 1 ตัน สามารถใช้ทดแทนถ่านหินได้ 1 ตัน หรือคิดเป็น 1 ต่อ 1 ข้อดีของแนวทางนี้คือ นอกจากจะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานถ่านหินแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะอีกทางหนึ่งด้วย
โครงการขยะกำพร้าในระยะเริ่มต้นสามารถรวบรวมขยะได้ปีละกว่า 70 ตัน ต่อมาเพิ่มเป็น 150 ตัน 300 ตัน และในปีล่าสุดทำสถิติได้มากถึง 800 ตัน นี่ไม่ใช่แค่การกำจัดขยะ แต่คือการคืนคุณค่าให้กับสิ่งที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า และในเวลาเดียวกันก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้คนทั่วไปว่า ขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้วนั้นจะถูกนำไปจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
#อย่าท้อ…ให้ช่วยกันคัดแยกขยะต่อไป
ปัญหาการจัดการขยะในระดับประเทศอย่างยั่งยืนนั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับสมบูรณ์เขาเชื่อมั่นว่า การคัดแยกขยะคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ประชาชนต้องหมั่นฝึกฝน สร้างวินัยของตนเอง เมื่อประชาชนพร้อมแล้ว สักวันหนึ่งทั้งระบบโดยรวมย่อมพัฒนาขึ้นและยั่งยืนขึ้น เริ่มต้นง่ายที่สุดคือ คัดแยกขยะเปียกกับขยะแห้ง ช่วยลดการหมักหมม ลดมลภาวะ ซึ่งจะช่วยให้ปลายทางจัดการได้ง่ายขึ้น
“สิ่งสำคัญคือเราต้องคัดแยกของเราให้ดีก่อน อย่าไปท้อ เหมือนเวลาทำบุญนั่นแหละ บุญเกิดตั้งแต่ตอนที่เราทำ ส่วนพระจะเอาไปทำอะไรต่อก็เป็นเรื่องของพระ” ทุกวันนี้โครงการขยะกำพร้าสัญจรสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่ได้มีงบก้อนโตนัก แต่สิ่งที่มีคือพลังเล็ก ๆ จากประชาชนทั่วประเทศที่พร้อมใจกันคนละไม้ละมือ และความหวังที่จะได้เห็นสิ่งแวดล้อมดีขึ้นย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”