ทส. ผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน ลงนามผลักดันบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนผ่าน ‘Aluminium Loop Model’ หนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดปล่อยคาร์บอนฯ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตและการจัดการกระป๋องอลูมิเนียมตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Aluminium Can Supply Chain) ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มอย่างยั่งยืน โดยใช้ “Aluminium Loop” เป็นต้นแบบการรีไซเคิลวงจรปิด (Closed Loop Recycling) ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมสนับสนุนข้อมูลภาคอุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม รองรับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของประเทศไทย (TH-CBAM) มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ของประเทศ ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีและกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยมี นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และนางกิติยา แสนทวีสุข ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด นำเสนอ “สรุปความร่วมมือครึ่งทศวรรษ” สะท้อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมอย่างยั่งยืน
การประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) โดยทุกฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติงานรายปี พร้อมกำหนดเป้าหมายชัดเจน โดยจะมีการทบทวนผลการดำเนินงานทุก 2 ปี เพื่อปรับปรุงและยกระดับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สำหรับความร่วมมือดังกล่าวนี้ จะช่วยยกระดับการจัดการบรรจุภัณฑ์ของประเทศไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล ช่วยลดปริมาณขยะตกค้าง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็ง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย
สำหรับระบบรีไซเคิลแบบวงจรปิด (Closed Loop Recycling) ของ Aluminium Loop เกิดขึ้นในปี 2564 จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนตลอดห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์เข้าร่วมกว่า 100 ราย และสามารถเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วได้กว่า 1,500 ล้านใบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 130 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมาตรการ TH-CBAM และเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
2. การส่งเสริมระบบรีไซเคิลวงจรปิดให้เป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมอื่น
3. การจัดการขยะในพื้นที่ยากต่อการเข้าถึง โดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
ดังนั้น ความร่วมมือนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยบนเวทีโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”