กรมลดโลกร้อน–GISTDA ร่วมมือใช้ข้อมูลดาวเทียม เพิ่มความสามารถรับมือโลกเดือด สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

          วันที่ 8 กันยายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) ลงนาม “บันทึกความร่วมมือว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศร่วมลงนาม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
          ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็น “นิมิตหมายสำคัญ” ของการบูรณาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันเป็นโจทย์ท้าทายร่วมกันของประชาคมโลก โดยวันนี้ เป็นการแสดงเจตจำนงร่วมกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศในการลดการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง GISTDA เป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูงด้านข้อมูลดาวเทียม เทคโนโลยีอวกาศ โดยกรอบความร่วมมือจะเป็นการร่วมกันนำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญในการกำหนดนโยบาย แผน การติดตามและประเมินผลอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง รวมทั้งและการวิจัยและพัฒนา เพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการวางแผนบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การแปลภาพดาวเทียมติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีเขียวของประเทศ การติตดาม Hotspot พื้นที่เผาทั้งป่าไม้และพื้นที่เกษตรกรรม การส่งเสริมการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) เป็นต้น และจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรมและอย่างมั่นคง สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยกรอบเวลาของบันทึกความร่วมมือมีผลบังคับใช้ 5 ปี ซึ่งจะมีการจัดตั้งคณะทำงาน ที่มีหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนงานในส่วนต่างๆ ต่อไป
          ดร.พิรุณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันการนำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
          ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า GISTDA ได้ร่วมมือกับกรมลดโลกร้อน ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศเป็นกลไกสนับสนุนเชิงนโยบาย สำหรับการจัดทำมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก การติดตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อม และการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดย GISTDA มีแหล่งข้อมูลที่สำคัญจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศที่จะมาร่วมสนับสนุน เช่น ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินพื้นที่น้ำท่วม-น้ำแล้งซ้ำซาก อุณหภูมิพื้นที่ผิว จุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ พื้นที่เกษตร การกัดเซาะชายฝั่ง พื้นที่สีเขียว การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน การวิเคราะห์และจัดทำแผนที่ความเสี่ยง การประเมินผลและการติดตามแหล่งกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น
          ซึ่งหลังจากลงนามแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินงานตามกรอบใน 2 โครงการสำคัญคือ 1) โครงการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่จะเน้นการจัดทำฐานข้อมูลด้านพื้นที่สีเขียวและไฟป่าทั้งประเทศ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต รวมถึงการพัฒนาแบบจำลองการปล่อยและการดูดกลับก๊าซคาร์บอนในระดับ Tier 3 ตาม IPCC อันจะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวางนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ NDC 3.0 และ 2) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศของประเทศไทย (ปีงบประมาณ 2568) โดย GISTDA จะเร่งทำฐานข้อมูลคาร์บอนพื้นที่สีเขียว และไฟป่าทั้งประเทศ เพื่อเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มกลาง Green Digital ของกรมลดโลกร้อน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นระบบฐานข้อมูลกลางด้านภูมิสารสนเทศและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
           ดร.ปกรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการเทคโนโลยีอวกาศกับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดนโยบายและการวางแผนเชิงรุก ตลอดจนมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว”

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

กรมลดโลกร้อน ตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 2/2568

          วันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะกรรมการตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมกรรณิการ์ – ราชาวดี (303 – 304) ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นคณะกรรมการ และนางสาวอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อพิจารณาตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี 2568 จำนวน 28 ผลงาน จากทั้งหมด 135 ผลงาน ทั้งประเภทบุคคล และประเภทเครือข่าย ใน 2 สาขา 7 ด้านผลงาน ประกอบด้วย สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3 ด้านผลงาน ได้แก่ ด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ และด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และสาขาการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4 ด้านผลงาน ได้แก่ ด้านการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้านการจัดการไฟป่า หมอกควัน และการเผาในที่โล่ง ด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และด้านการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งที่ประชุมได้มีมติตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี 2568 ดังนี้
          1. ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ จำนวน 7 ราย
          2. ทสม. ดาวรุ่ง ระดับประเทศ จำนวน 7 ราย
          3. เครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ จำนวน 7 เครือข่าย
          4. เครือข่าย ทสม. ดาวรุ่ง ระดับประเทศ จำนวน 6 เครือข่าย
          ทั้งนี้ จะประกาศรายชื่อ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 และจัดพิธีมอบรางวัลตามลำดับต่อไป

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

รับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นบุคลากรช่วยปฏิบัติงาน ตำแหน่งที่รับสมัคร นักวิชาการสิ่งแวดล้อม (วุฒิปริญญาตรี) จำนวน 1 อัตรา

1. การรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นบุคลากรช่วยปฏิบัติงาน

 

กรมลดโลกร้อนร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 18 (18th AMME) เสนอแนวนโยบายรับมือโลกร้อนในเวทีอาเซียน

     

         เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 18 (18th ASEAN Ministrial Meeting on Environment: 18th AMME) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติลังกาวี ประเทศมาเลเซีย โดยมี H.E. Datuk Seri Johari Abdul Ghani รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมมาเลเซีย เป็นประธานการประชุม ร่วมกับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียน ติมอร์เลสเต สำนักเลขาธิการอาเซียน และประเทศคู่เจรจา ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัดกระทรวงฯ ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมประชุมดังกล่าว
          การประชุม 18th AMME เป็นการหารือระดับรัฐมนตรี เพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้กล่าวถ้อยแถลงการดำเนินนโยบายของไทยต่อที่ประชุมฯ โดยมุ่งเน้นการจัดทำการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดฉบับใหม่ (NDC 3.0) แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนามาตรการและกลไกตามมาตรา 6 ของความตกลงปารีส ผ่านโครงการ High-Intregrity ASEAN Carbon Initiative (HACI) ตลอดจนการพัฒนาเมืองยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนและพร้อมรับมือต่อสภาพภูมิอากาศ โดยที่ประชุมได้มีมติรับรองเอกสารสำคัญ ได้แก่ การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุม COP 30 และการพิจารณาการเสนอชื่อเมืองยั่งยืนอาเซียน ครั้งที่ 6 พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ACCC) การจัดทำแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ACCSAP) การจัดนิทรรศการ ASEAN Pavilion COP 30 และการหารือระหว่างสมาชิกอาเซียนกับประธาน UNFCCC COP 30 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อนร่วมกับ ม.แม่ฟ้าหลวง จับมือผู้ประกอบการภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการปรับตัวฯ

          กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2568 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติต่าง ๆ ให้สามารถพัฒนาแนวทางและออกแบบ กิจกรรมการท่องเที่ยว และรับมือต่อผลกระทบและภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ โดยได้รับเกียรติจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานและมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมด้วย นายพัฒณพงษ์ นาคะพงษ์ ปลัดอำเภอเทิง นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผู้แทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้
         โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรรณนิภา ดอกไม้งาม ดร.ปฏิพัทธ์ ตันมิ่ง และอาจารย์ศรุตนันท์ โสภณิก ร่วมเป็นวิทยากรกระบวนการให้ความรู้ตลอดระยะเวลา 3 วันของกิจกรรม ซึ่งมีผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว เครือข่าย ทสม. องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมรวม 60 คน
          – วันที่ 27 สิงหาคม 2568 คณะศึกษาดูงานกิจกรรม “แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภาคการท่องเที่ยวของชุมชนผาหมี” ผ่านการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ได้แก่ กิจกรรมตำข้าวปุ๊กงา การปั่นฝ้าย/ปักผ้าพื้นเมือง และการแปรรูปกาแฟแบบดั้งเดิม โดยหลังจากกิจกรรมศึกษาดูงานได้มีการสรุปผลการเรียนรู้เกี่ยวกับการต่อยอดการใช้เรื่องราวของชุมชนให้เกิดคุณค่าใหม่ ที่จะสร้างความน่าสนใจและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนได้ตลอดปี
         – วันที่ 28 สิงหาคม 2568 สร้างความเข้าใจเรื่อง Climate Change สถานการณ์ความเสี่ยง ภัยพิบัติ และวิเคราะห์ผลกระทบในระดับพื้นที่ และแนวทางการปรับตัวภาคท่องเที่ยว ตลอดจนการเตรียมความพร้อมการรับมือของภาคท่องเที่ยว และแนวคิดหลักการบริหารจัดการภาคท่องเที่ยวเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ผู้เข้าร่วม สร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
         – วันที่ 29 สิงหาคม 2568 กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ จัดทำแผนการรับมือสำหรับภาคท่องเที่ยว และออกแบบกิจกรรม/การปรับรูปแบบการท่องเที่ยวตามบริบทและสถานการณ์ความเสี่ยง เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ในการกำหนดรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

รับสมัครลูกจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นักวิชาการเงินและบัญชี 1 ตำแหน่ง (สำนักงานเลขานุการกรม) อัตราเงินเดือน 15,000 บาท ระยะเวลารับสมัครตั้งแต่ 27 สิงหาคม – 15 กันยายน 2568

กรมลดโลกร้อน ขับเคลื่อนแนวทางปรับตัว รับมือวิกฤตโลกร้อนอย่างยั่งยืน

         วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จัดการประชุมเผยแพร่แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาดัชนีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับประเทศไทย ณ ห้องวอเตอร์เกทบอลรูม 1&2 ชั้น 6 โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ (ประตูน้ำ) โดยมีนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม และได้รับเกียรติจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกว่า 200 คน
         การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามแนวทาง/กรอบการศึกษาการพัฒนาดัชนีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (CRI) ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยโดยมีผลการศึกษาคือ
         – การพัฒนาแนวทางและเพิ่มศักยภาพของชุมชนให้เป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 2 พื้นที่ คือ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดนครศรีธรรมราช และการปรับตัวในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 สาขา คือ สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ มุ่งเน้นทั้งการฟื้นฟู อนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยอาศัยองค์ความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่กัน และสาขาการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ มุ่งเน้นการออกแบบเมืองและโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ การดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ การหลีกเลี่ยงการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เสี่ยง
         – การศึกษาวิธีการประเมินและจัดอันดับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศต่างๆ ได้นำแนวทางของ Germanwatch มาปรับใช้และพัฒนาสำหรับการจัดทำดัชนีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Risk Index: CRI) ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งคำนึงถึงผลกระทบจากภัยพิบัติ ที่สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งผลการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในจัดทำแนวทางการปรับตัวให้ครบทั้ง 6 สาขาและพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ ให้มีศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ต่อไป และดัชนีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศชุดนี้ จะช่วยสะท้อนถึงความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเปราะบางของพื้นที่และความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้เข้าใจผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะจัดลำดับความรุนแรงของจังหวัดที่ได้รับผลกระทบอันเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและการจัดสรรทรัพยากร เพื่อการพัฒนาพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
ผลการศึกษาดังกล่าวจะส่งเสริมให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงการตั้งรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Adaptation Plan: NAP) ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการปรับตัวของทุกภาคส่วน และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

 

กรมลดโลกร้อน ร่วมกับ กรมยุโรป และ DG CLIMA จัดประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)

      

   

          เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 68 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และนางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป ร่วมเป็นประธาน การประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) โดยการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรปด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Directorate-General for Climate Action: DG CLIMA) ซึ่งได้รับเกียรติจาก Mr. Renato Roldao (คุณเรนาโต โรลดาว) และ Ms. Irini Nikolaou (คุณอิรินี นิโคเลา) ร่วมบรรยายให้กับผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ ประมาณ 90 คน ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคาร สส.
          การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาระบบ ETS ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกตลาดที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และบรรลุเป้าหมายของประเทศไทย โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรป เพื่อยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน เป็นเจ้าภาพจัดงาน Asia Climate Summit 2025 เร่งสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิตระดับโลก

      

   

 

            เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน Asia Climate Summit 2025 พร้อมด้วย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมกับ International Emissions Trading Association (IETA) เพื่อเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตระดับนานาชาติ ร่วมกับผู้เข้าร่วมการประชุมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงินจากทั่วโลก กว่า 800 คน
ประธานที่ปรึกษา รมว.ทส. เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างเสริมให้มีการขยายโอกาสทางการตลาด และความร่วมมือเพื่อพัฒนาตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้ข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้เป็นส่วนหนึ่งของการลดก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมาย NDC 3.0 ของประเทศตามหลักการสากล และมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคาร์บอนเครดิตของ Premium T-VER ในประเทศไทย เพื่อให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานคาร์บอนเครดิตอิสระระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นสูงในการดำเนินงานของตลาดคาร์บอนในระดับภูมิภาคอาเซียน
               อีกทั้ง ได้มุ่งให้การบูรณาการแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติไปสู่การจัดการระบบนิเวศของทางทะเลและชายฝั่งในลักษณะคาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue Carbon) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดียิ่งขึ้นควบคู่กันอีกด้วย ตลอดจนได้เน้นย้ำถึงโอกาสที่จะได้รับจาก พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะเป็นเครื่องมือทางกฎหมายของกลไกราคาคาร์บอน สำหรับเชื่อมการดำเนินงานกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มของตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนที่จะเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุน ร่วมกับการจัดตั้งกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้กฎหมายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและนำไปสู่ความยั่งยืนได้ในระยะยาว

               “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วม MOU กับ 11 พันธมิตร ขับเคลื่อนเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ

เมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การเชื่อมโยงประโยชน์การลงทุนสู่พื้นที่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (EEC Connect) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย 10 แห่ง ได้แก่ 1) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 2) สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 2 3) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) 4) นิคมอุตสาหกรรมบลูเทค ซิตี้ 5) นิคมอุตสาหกรรมเอเพ็กซ์กรีนอินดัสเตรียลเอสเตท 6) นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 7) นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ บริษัท ทีพีเอ็น เฟล็กซ์แพค จำกัด 9) บริษัท โอกาส ดี เอสอี จำกัด และ 10) บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อาคารโทรคมนาคมบางรัก ซึ่งกรมลดโลกร้อนจะให้การสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลง​สภาพ​ภูมิอากาศ​ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างนิคมอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศรวมทั้งภาคีที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ทางทรัพยากรในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการเสริมศักยภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรอบนิคมอุตสาหกรรมใน EEC เพื่อยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่นำร่องจังหวัดฉะเชิงเทราให้เกิดความยั่งยืน

          “ประเทศไทยเติบ โตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”