กรมลดโลกร้อน บรรยายพิเศษ หลักสูตร TOP วบส. รุ่นที่ 1 เสริมพลังผู้นำขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ

               วันที่ 12 มิถุนายน 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม บรรยายหลักสูตรผู้นำวิทยาการจัดการระดับสูง (TOP วบส.) รุ่นที่ 1 ให้กับนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ศิษย์เก่าหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง และผู้เข้าร่วมจากภาคธุรกิจ รวมจำนวณ 30 คน ณ อาคารนวมินทราธิราช สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยได้บรรยายเกี่ยวกับความสำคัญของการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความก้าวหน้าของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งเปิดมุมมองเกี่ยวกับประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาองค์กร และธุรกิจให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และเติบโตแบบเศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (ระยะที่ 1 : 2568 – 2570) ครั้งที่ 1 ภาคกลาง

               วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมฯ พร้อมด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการประชุมนี้เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (ระยะที่ 1 : 2568 – 2570) ครั้งที่ 1 ภาคกลาง ณ ห้องแมกโนเลีย 2 และ 3 โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างการรับรู้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เข้าใจถึงบทบาท หน้าที่ และความร่วมมือของหน่วยงานตน ในการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 30 – 40 จากกรณีปกติ ภายในปี พ.ศ. 2573 ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกปี พ.ศ. 2564 – 2573 กับแผนลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด และแผนลดก๊าซเรือนกระจกในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ สาขาพลังงาน คมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม เกษตร และป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
               เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด ผ่านการวิเคราะห์ความสอดคล้องของแผน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานของจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และการรับฟังข้อเสนอแนะต่อ (ร่าง) กรอบแนวทางในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและระดับจังหวัด โดยมีกลุ่มเป้าหมายจากหน่วยงานในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 25 จังหวัด ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 สาขาในระดับพื้นที่ (ทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และหน่วยงานสนับสนุน) สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน รวมถึงผู้ที่สนใจจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

จับตาลานีญา–เอลนีโญ 2025 ไทยเจอฝนหนักต้นปี แล้งรุนแรงปลายปี

               เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้วนั้น ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับความผันผวนของภูมิอากาศที่ส่งผลต่อทั้งปริมาณฝน พื้นที่เกษตรกรรม ไปจนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นผลมาจาก “การเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา” ที่กำลังก่อตัวและเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วในปีนี้
               ตั้งแต่ช่วงต้นปี ไทยต้องรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวนจากการเกิดปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization (WMO)) ได้ออกมายืนยันว่า “ปรากฏการณ์ลานีญา” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วงต้นปี 2025 (1) ซึ่งเป็นผลจากการที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนฝั่งตะวันออกเย็นลงกว่าค่าปกติอย่างต่อเนื่อง โดยมีลักษณะสำคัญคือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกบริเวณเส้นศูนย์สูตรลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ซึ่งโดยทั่วไปจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลม ความกดอากาศ และปริมาณฝนในหลายภูมิภาคของโลก เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่มักประสบกับฝนตกหนัก (1)(4)

               “ลานีญา” คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน มีลักษณะเด่นคือ การลดลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตเส้นศูนย์สูตร ตรงข้ามกับปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในพื้นที่เดียวกันอุ่นขึ้น (1)
               ผลกระทบของลานีญาต่อสภาพอากาศทั่วโลกนั้นหลากหลาย มักจะทำให้เกิดสภาพอากาศที่เย็นกว่าปกติในบางพื้นที่และอาจทำให้เกิดฝนตกหนักในบางภูมิภาค อาทิ ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียและบางส่วนของออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน บางพื้นที่อย่างอเมริกาใต้บางส่วนอาจประสบกับภัยแล้ง การเกิดลานีญามักเกิดขึ้นในวงรอบที่ไม่แน่นอนประมาณทุก 2-7 ปี และมักจะเกิดขึ้นหลังจากปรากฏการณ์เอลนีโญสิ้นสุดลง (1)
               จากการพยากรณ์ล่าสุดจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนคาดว่า จะกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีโอกาส 60% ที่สภาพอากาศจะกลับไปสู่ช่วงอุณหภูมิที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า สภาวะเป็นกลาง (ENSO-neutral) ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2025 และเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2025 (1)
               การพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเอลนีโญและลานีญามีความสำคัญในการแจ้งเตือนล่วงหน้าและการดำเนินการป้องกัน ตามที่ Celeste Saulo เลขาธิการ WMO กล่าวไว้ว่า การพยากรณ์เหล่านี้แปลเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ในการประหยัดทางเศรษฐกิจสำหรับภาคส่วนสำคัญ ทั้งเกษตรกรรม พลังงาน และการขนส่ง และยังได้ช่วยชีวิตผู้คนหลายพันคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยการเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (1)
               สำหรับลานีญา การเย็นตัวของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกจะทำให้ลม ความดัน และปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีผลกระทบทางภูมิอากาศที่ตรงข้ามกับเอลนีโญ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อน ตัวอย่างเช่น ในช่วงเอลนีโญ ที่ออสเตรเลียมักประสบกับภัยแล้ง ในขณะที่ลานีญาสามารถทำให้เกิดฝนตกหนักและอุทกภัยตามมาได้ แต่ในทางกลับกันบางส่วนของอเมริกาใต้อาจประสบกับภัยแล้งในช่วงลานีญา แต่จะมีสภาพอากาศชื้นขึ้นในช่วงเอลนีโญ (1)
               สิ่งที่น่าสังเกตคือ ปรากฏการณ์ภูมิอากาศทางธรรมชาติเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งกำลังทำให้โลกร้อนขึ้นและเกิดสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ตามข้อมูลจาก WMO เดือนมกราคม 2025 ระบุว่า เป็นเดือนมกราคมที่อุ่นที่สุดในบันทึกสถิติ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงปรากฏการณ์ลานีญาที่อากาศควรจะต้องเย็นลง (1)
               ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งล่าสุดได้ส่งผลให้ภูมิอากาศช่วงนั้นขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 5 เหตุการณ์ด้านสภาพอากาศที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทำให้อุณหภูมิสูงทะลุออกจากกราฟในปี 2023 และทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก WMO เตือนว่า ปรากฎการณ์ของภูมิอากาศทั้งเอลนีโญและลานีญากำลังเกิดขึ้นในบริบทที่กว้าง สภาพอากาศสุดขั้วจะมีบ่อยและรุนแรงมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของฝนและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทําไมเดือนมกราคมจึงเป็นเดือนที่อุณหภูมิสูงที่สุดที่เคยบันทึกไว้ (1)
               ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงกว่าปกติซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ทั่วทั้งมหาสมุทรหลักทั้งหมด ยกเว้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกใกล้เส้นศูนย์สูตร การคาดการณ์ล่าสุดจาก GSCU (Global Seasonal Climate Update) ชี้ว่าอุณหภูมิจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในเกือบทุกพื้นที่ทั่วโลก (2)

               แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า ลานีญาสิ้นสุดลงแล้ว? คำตอบคือ จากการวัดอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในบริเวณ Niño 3.4 ซึ่งเป็นค่าหลักในการประเมินปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา (ENSO) โดยถ้าค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเย็นกว่าค่าปกติตั้งแต่ -0.5 °C ขึ้นไป จะถือว่าเป็นลานีญา แต่ในเดือนมีนาคม 2025 ค่าดังกล่าวอยู่ที่ -0.01 °C ซึ่งเกือบเท่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (1991–2020) แสดงให้เห็นว่าเข้าสู่ภาวะเป็นกลางแล้ว นอกจากนี้น้ำเย็นใต้ผิวน้ำที่เคยสะสมก็เริ่มลดลง ขณะที่น้ำอุ่นทางตะวันออกแผ่ขยายเข้ามาแทน และสัญญาณจากชั้นบรรยากาศอย่างการไหลเวียนวอล์คเกอร์ก็เริ่มอ่อนกำลังลง จึงยืนยันได้ว่าลานีญาได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างชัดเจน (3)
               การผสมผสานของอุณหภูมิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในแปซิฟิกตอนกลางที่อ่อนกำลังลง และการขยายตัวของน้ำอุ่นในแปซิฟิกตะวันออกไกล (Far East) ช่วยลดอุณหภูมิผิวน้ำที่เย็นกว่าในช่วงลานีญาลง ปริมาณน้ำที่เย็นกว่าปกติใต้ผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานให้กับผิวหน้าก็ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (3)
               การกำหนด “ค่าเฉลี่ยระยะยาว” ในปัจจุบันใช้ช่วงปี 1991–2020 ตามมาตรฐานของ WMO สำหรับการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศตามฤดูกาล การอัปเดตช่วงค่าเฉลี่ยทุก 5 ปีสำหรับ ENSO เพื่อพยายามชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ฤดูหนาวปี 2024–2025 ที่ผ่านมาจึงยังไม่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ลานีญาอย่างเป็นทางการตามเกณฑ์ที่ต้องคงอยู่ 5 ฤดูกาลต่อเนื่อง (3)
               สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 2025 คือ สภาวะเป็นกลาง มีแนวโน้มสูงที่จะดำเนินไปจนถึงช่วงฤดูร้อน โอกาสที่จะเกิดเอลนีโญหรือลานีญาจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี โดยโอกาสเกิดลานีญามีประมาณสองเท่าของเอลนีโญ แต่สภาวะเป็นกลางยังคงมีความน่าจะเป็นสูงสุดจนถึงช่วงต้นฤดูหนาว (3)
               นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์สภาพภูมิอากาศ (CPC) ของ NOAA ได้ออกคำแนะนำสุดท้ายเกี่ยวกับลานีญา โดยระบุว่า ลานีญาได้สิ้นสุดลงแล้วหลังจากที่สภาวะเป็นกลางกลับมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สถานะของ ENSO มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงภัยแล้ง พายุเฮอริเคน และพายุฤดูหนาว (4)
               ปรากฏการณ์ลานีญาที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น แม้จะถูกคาดหวังมาตลอดปี 2024 แต่ก็เพิ่งเกิดขึ้นจริงและไม่ได้รุนแรงเท่าที่คาดไว้ มันเกิดขึ้นช้ากว่าที่นักอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้หลายเดือน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าทำไมการพยากรณ์จึงคลาดเคลื่อนไปมาก หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์มีส่วนทำให้ล่าช้าหรือไม่ (5)
               ความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยได้รับอิทธิพลหลักจากกระบวนการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรและบรรยากาศ เช่น ENSO และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลมหาสมุทรอินเดีย หรือ IOD เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบสำคัญต่อเกษตรกรรมและการจัดการน้ำในประเทศ (6) ในช่วงที่เกิดลานีญา มักจะทำให้ปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก (5)
               อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่เอลนีโญในช่วงปลายปี (3) ประเทศไทยอาจเผชิญกับสถานการณ์ตรงกันข้ามคือ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ลดลง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยแล้ง และส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว และการบริหารจัดการแหล่งน้ำในประเทศ การทำความเข้าใจความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนซึ่งเป็นผลพวงจากลานีญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนรับมือในระดับประเทศ (6)

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) NATIONAL GEOGRAPHIC., Environment., ปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้นหรือยัง ยาวนานถึงเมื่อไหร่ และสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร?
(2) WORLD METEOROLOGICAL ORGANIZATION., La Niña event is expected to be short-lived.
(3) NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) : Science & Information for a climate-smart nation., April 2025 ENSO update : La Niña has ended.
(4) Fox Weather., La Nina climate pattern ends as Pacific Ocean returns to neutral state.
(5) The Nation., La Niña arriveds, Less intense; Thailand repares for rain, cooler weather.
(6) ScienceDirect., A systematic review on rainfall patterns of Thailand : Insights into variability and its relationship with ENSO and IOD.

‘ขยะกำพร้า’ เรื่องเล่าจากถุงดำ สร้างความหวังพลังงานทดแทน

               “ทิ้งขยะให้ถูกถัง” “คัดแยกขยะก่อนทิ้ง” คือ วลีที่คุ้นหูคนไทยมาหลายสิบปี จนเกิดพฤติกรรมการแยกขยะที่เริ่มมองเห็นอย่างเป็นระบบในสังคมมากขึ้น แต่เมื่อมองให้ละเอียดถึงขยะที่เราได้แยกไว้ จะพบขยะอีกหนึ่งประเภทที่ถูกมองข้ามไปโดยเปล่าประโยชน์
               ขยะประเภทนี้ ถึงแม้จะไม่เน่า ไม่เสีย แต่ก็ไร้คนต้องการ โรงงานรีไซเคิลไม่รับซื้อ เพราะไม่คุ้มค่าในการแปรรูป ขยะประเภทนี้จึงถูกผลักไสออกนอกระบบอย่างเงียบ ๆ กลายเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครรับ และไม่มีที่ไป
แล้วขยะเหล่านี้ควรไปอยู่ที่ไหน? คำถามนี้เองที่จุดประกายโครงการ “ขยะกำพร้าสัญจร” ภายใต้แนวคิดที่ว่า แม้ขยะจะไร้มูลค่าในตลาด แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีคุณค่า และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในฐานะพลังงานทดแทน

#การเดินทางของขยะกำพร้าที่ใคร ๆ ก็ไม่รัก
               จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับงานด้านการจัดการขยะในโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ สมบูรณ์ กิตติอนงค์ พบว่า มีขยะอีกหลายประเภทที่ไม่เป็นที่ต้องการของโรงงานแปรรูป และสุดท้ายต้องจบลงที่บ่อฝังกลบซึ่งนับวันมีแต่จะสะสมพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “ขยะกำพร้า”   “ความหมายก็คือ ใคร ๆ ก็ไม่รัก คนนั้นก็ไม่เอา โรงงานรีไซเคิลก็ไม่สน แต่ความจริงแล้วมันยังสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงได้”
               จุดนี้เองทำให้สมบูรณ์ริเริ่มโครงการ “ขยะกำพร้าสัญจร” โดยเปิดรับขยะจากประชาชนทั่วไปที่ช่วยกันคัดแยกมาแล้ว เพื่อนำไปบดย่อยและผลิตเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงงานปลายทาง ได้แก่ โรงงานปูนซิเมนต์และโรงไฟฟ้า ซึ่งมีเตาเผาระบบปิด ใช้อุณหภูมิเผาไหม้สูง และลดการปล่อยมลพิษ
               สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่ากระบวนการจัดการขยะคือ หัวใจของผู้ร่วมโครงการ หลายคนยอมควักเงินส่วนตัวเพื่อส่งขยะจากต่างจังหวัดมาให้ ทั้งที่ไม่มีรางวัลตอบแทน ไม่มีแต้มแลกไข่ เพราะพวกเขาเชื่อว่าขยะเหล่านั้นจะไปสู่จุดหมายปลายทางที่เหมาะที่ควร เฟซบุ๊กแฟนเพจและกลุ่มไลน์เล็ก ๆ ของโครงการขยะกำพร้าจึงค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นจากความไว้ใจของผู้คนที่ส่งต่อกันปากต่อปาก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม จันทบุรี และระยอง “มีคุณครูเกษียณท่านหนึ่งโทรมาติดตามตลอดว่า ขยะที่เขาส่งมานั้นถึงหรือยัง เขายอมเสียเงินค่าพัสดุร้อยกว่าบาท เพื่อส่งขยะมาให้โครงการ แต่กลัวว่าขยะจะไปตกหล่นที่ไหนหรือเปล่า จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไหม ผมฟังแล้วน้ำตาคลอเลยว่า ในสังคมเรายังมีคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และรับผิดชอบต่อสังคมจริง ๆ”

#Recovery Energy เมื่อขยะมาแทนที่ถ่านหิน
               ก่อนหน้านี้เราอาจคุ้นเคยกับแนวคิดจัดการขยะแบบ 3R (Reduce: ลดการใช้, Reuse: ใช้ซ้ำ, Recycle: แปรรูปกลับมาใช้ใหม่) แต่ขยะอีกหลายประเภทที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์ใด ๆ แทนที่จะปล่อยให้เป็นภาระสิ่งแวดล้อม สมบูรณ์มองว่า ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถทำได้คือ Recovery Energy หรือการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานนั่นเอง
               หลักการสำคัญของการจัดการขยะพลังงานคือ ต้องเป็นขยะแห้ง ไม่เน่า เผาได้ เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ซึ่งสามารถใช้ทดแทนถ่านหินในโรงงานได้โดยตรง แต่สิ่งที่ต้องระวังคือขยะอันตราย เช่น แบตเตอรี่ ท่อ PVC ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เศษแก้ว เศษโลหะ เพราะอาจทำให้เครื่องจักรเสียหายได้
               หากเทียบกันหมัดต่อหมัด ขยะกำพร้า 1 ตัน สามารถใช้ทดแทนถ่านหินได้ 1 ตัน หรือคิดเป็น 1 ต่อ 1 ข้อดีของแนวทางนี้คือ นอกจากจะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานถ่านหินแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะอีกทางหนึ่งด้วย
               โครงการขยะกำพร้าในระยะเริ่มต้นสามารถรวบรวมขยะได้ปีละกว่า 70 ตัน ต่อมาเพิ่มเป็น 150 ตัน 300 ตัน และในปีล่าสุดทำสถิติได้มากถึง 800 ตัน นี่ไม่ใช่แค่การกำจัดขยะ แต่คือการคืนคุณค่าให้กับสิ่งที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า และในเวลาเดียวกันก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้คนทั่วไปว่า ขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้วนั้นจะถูกนำไปจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

#อย่าท้อ…ให้ช่วยกันคัดแยกขยะต่อไป
               ปัญหาการจัดการขยะในระดับประเทศอย่างยั่งยืนนั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับสมบูรณ์เขาเชื่อมั่นว่า การคัดแยกขยะคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ประชาชนต้องหมั่นฝึกฝน สร้างวินัยของตนเอง เมื่อประชาชนพร้อมแล้ว สักวันหนึ่งทั้งระบบโดยรวมย่อมพัฒนาขึ้นและยั่งยืนขึ้น เริ่มต้นง่ายที่สุดคือ คัดแยกขยะเปียกกับขยะแห้ง ช่วยลดการหมักหมม ลดมลภาวะ ซึ่งจะช่วยให้ปลายทางจัดการได้ง่ายขึ้น
               “สิ่งสำคัญคือเราต้องคัดแยกของเราให้ดีก่อน อย่าไปท้อ เหมือนเวลาทำบุญนั่นแหละ บุญเกิดตั้งแต่ตอนที่เราทำ ส่วนพระจะเอาไปทำอะไรต่อก็เป็นเรื่องของพระ”  ทุกวันนี้โครงการขยะกำพร้าสัญจรสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่ได้มีงบก้อนโตนัก แต่สิ่งที่มีคือพลังเล็ก ๆ จากประชาชนทั่วประเทศที่พร้อมใจกันคนละไม้ละมือ และความหวังที่จะได้เห็นสิ่งแวดล้อมดีขึ้นย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมงานมหกรรมทรัพยากรชีวภาพและการสร้างโอกาสทางการตลาด “WONDERS OF BIODIVERSITY – มหัศจรรย์ทรัพยากรชีวภาพ”

               วันที่ 10 มิถุนายน 2568 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมทรัพยากรชีวภาพและการสร้างโอกาสทางการตลาด ภายใต้แนวคิด “WONDERS OF BIODIVERSITY – มหัศจรรย์ทรัพยากรชีวภาพ” ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ระหว่างวันที่ 9 – 13 มิถุนายน 2568 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อสร้างการรับรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายและชุมชนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วม
               การจัดงานมหกรรมทรัพยากรชีวภาพและการสร้างโอกาสทางการตลาด มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้สังคมได้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากร พร้อมร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูฐานทรัพยากรให้คงอยู่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างความหลากหลายทางชีวภาพกับเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมชุมชนในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และการพัฒนาตามแนวทาง BCG Economy Model (Bio – Circular –Green) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การจัดงานในครั้งนี้มีกิจกรรม ประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ผลงานของ BEDO การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากชุมชนเครือข่ายของ BEDO กว่า 60 ชุมชนทั่วประเทศ การมอบรางวัล “BEDO Award on Biodiversity & Sustainability” เพื่อเชิดชูเกียรติให้กับพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน บุคคล ที่มีการสนับสนุนและร่วมดำเนินงานกับ BEDO ด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ รวมถึงมีการมอบโล่สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับเครื่องหมายผลิตภัณฑ์และบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพ (B Mark)
               นอกจากนี้ยังได้จัดการประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน “Biodiversity & Bioeconomy Forum 2025 : ธรรมชาติเพื่อชีวิต เศรษฐกิจเพื่อการอนุรักษ์” ระหว่างวันที่ 10 – 12 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ การจัดงาน “มหกรรมทรัพยากรชีวภาพและการสร้างโอกาสทางการตลาด” ในครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญที่ช่วยสร้างการรับรู้ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพอย่างมีส่วนร่วม และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้หลักการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการตลอดจนประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงานเพื่อเรียนรู้ แบ่งปัน และสร้างเครือข่ายแห่งความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยไปด้วยกัน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

หลักสูตรอบรม : ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยโรคระบาด ที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

🎓 เปิดรับสมัครแล้ว! หลักสูตรอบรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
“ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยโรคระบาดที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
จัดโดย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมร่วมกับ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

🗓 วันที่ 1–2 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.30 – 17.30 น.
📍 ณ ห้องประชุม อาคารเทพนม เมืองแมน (อาคาร 5) ชั้น 4
คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล (วิทยาเขตพญาไท)

🧠 หัวข้อเด่นในหลักสูตร
ความเข้าใจพื้นฐานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยต่อสุขภาพ
โรคระบาดที่มากับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
การประเมินความเสี่ยงและระบบเฝ้าระวัง
การจัดการข้อมูลและเตือนภัยโรคระบาด
การสื่อสารความเสี่ยงและการวางแผนนโยบาย

✅ รับประกาศนียบัตรรับรองจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
🎓 รับ Micro Credit 1 หน่วยกิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล

จำกัดผู้เข้าร่วมเพียง 50 ท่าน และ จะมีการคัดเลือกจากผู้สมัคร
โดยพิจารณาจากความเกี่ยวข้องของประสบการณ์ทำงานหรือความสนใจในหัวข้อหลักสูตร
✅ สมัครได้ถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2568
📣 ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกวันที่ 23 มิถุนายน 2568

ระเบิดฝน เกี่ยวข้องกับเราในยุคโลกร้อนอย่างไร?

ทุกคนเคยได้ยินคำว่า “ระเบิดฝน (Rain Bomb)” กันไหมครับ แม้คำนี้จะไม่ใช่ศัพท์ทางอุตุนิยมวิทยาอย่างเป็นทางการ แต่มันถูกใช้เพื่ออธิบายถึงฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและรวดเร็วในบริเวณพื้นที่แคบๆ คล้ายกับการทิ้งระเบิดจากฟากฟ้า ในทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้ใกล้เคียงกับปรากฏการณ์ที่กระแสลมพุ่งลงอย่างแรงจากพายุฝนฟ้าคะนองที่เรียกว่า “wet microburst” ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงในบริเวณเล็กๆ และในเวลาอันซึ่งเมื่อกระทบพื้นแล้วจะแผ่ขยายออกไปในทุกทิศทาง ทำให้เกิดลมแรงถึงแม้ว่า “ระเบิดฝน” จะเกิดขึ้นเพียงแค่ 5-10 นาที เท่านั้น แต่กลับสามารถสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งจากปริมาณน้ำฝนที่สูงถึง 2 – 4 นิ้วต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรงในแนวราบที่อาจมีความเร็วถึง 100 – 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น อากาศที่อุ่นขึ้นสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้นประมาณ 7% ต่อองศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีไอน้ำในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักและรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจพัฒนากลายเป็น “ระเบิดฝน” ได้ในที่สุด
               สำหรับประเทศไทยของเราก็มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ฝนตกหนักที่รุนแรงขึ้นนี้เช่นกัน ซึ่งแม้คำว่า “ระเบิดฝน” จะไม่ถูกใช้บ่อยนักในอดีต แต่ประเทศไทยก็เคยเผชิญกับเหตุการณ์ฝนตกหนักที่อาจมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ปี 2529, 2537 และ 2554 รวมถึงฝนตกหนักในภาคใต้ปี 2560 และล่าสุดในปี 2567 ที่มีการกล่าวถึง “rain bomb” ในกรุงเทพฯ ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ฝนตกหนักที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึง “ระเบิดฝน” ด้วย อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้บ่อยและรุนแรงขึ้น ที่สำคัญประเทศไทยของเรามีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบและมีความเปราะบางต่อ “ระเบิดฝน” เนื่องจากระเบิดฝนสามารถสร้างผลกระทบและความเสียหายอย่างมากต่อโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ เช่น ถนน สะพาน และระบบระบายน้ำ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจตามมา ซึ่งประเทศไทยมีความเปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้ เนื่องจากตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศสุดขั้ว
               พวกเราในฐานะประชาชนสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับ “ระเบิดฝน” ได้ง่ายๆ โดยการติดตามข่าวสารและประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และหากพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน นอกจากนี้ สามารถช่วยกันดูแลรักษาและพัฒนาระบบระบายน้ำในชุมชน และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด “ระเบิดฝน”
               การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป และมันส่งผลต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง “ระเบิดฝน” การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ จะช่วยลดความเสียหายและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราได้

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– GZA Known for excellence : Built on trust., Sheltering from the strom : “Rain Bombs” and Developing Mitigation Approaches.
– LIVESCIENCE. Facts About Microbursts.
– Getaway. ‘Rain bombs’ captured in all their beauty.
– CLIMATE COUNCIL., A Super Charged Climate : Rain Bombs, Flash Flooding and Destruction.
– National Weather Service : National Oceanic and Atmospheric Administration., What is Microburst?
– IPCC Sixth Assessment Report. Working Group 1 : The Physical Science Basis., Chapter 11 : Weather and Climate Extreme Events in a Changing Climate.

8 มิถุนายน วันทะเลโลก (World Oceans Day)

               องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 8 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันทะเลโลก” หรือ “วันมหาสมุทรโลก” (World Oceans Day) เพื่อกระตุ้นให้คนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของมหาสมุทรที่เป็นแหล่งกำเนิดชีวิต และเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ รวมทั้งมหาสมุทรยังถือเป็นกลไกควบคุมสมดุลของสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศที่ค้ำจุนชีวิตบนโลกอย่างแท้จริง นอกจากนี้มหาสมุทรยังเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนราวครึ่งหนึ่งของอากาศที่เราทุกคนหายใจ และยังกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 1 ใน 4 ที่ถูกปล่อยออกมาทุกๆ ปี
               โดยในปี 2568 นี้ วันทะเลโลก จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “WONDER Sustaining What Sustains Us” หรือ “ดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ปัญหาทรัพยากรทางทะเลอย่างจริงจัง
☀️🌊ทะเลกับวิกฤตโลกเดือด (Climate Crisis)
               มหาสมุทรเป็นตัวดูดซับความร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประมาณ 90% จะถูกกักเก็บไว้ในมหาสมุทร เนื่องจากน้ำมีความสามารถในการกักเก็บความร้อนสูง และต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษกว่าจะเย็นตัวลง ดังนั้นผลกระทบที่ตามมาคือ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความเป็นกรดในทะเลเพิ่มขึ้น และปะการังฟอกขาวอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อวิถีชีวิตชาวประมง ระบบนิเวศทางทะเล และความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย
เราทุกคนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและบรรเทาผลกระทบจากโลกร้อนได้ง่ายๆ ดังนี้ …
               🌱 ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว: เช่น หลอด ถุงหูหิ้ว และขวดน้ำ
               🚯 ไม่ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำและชายหาด รวมทั้งสามารถช่วยกันเก็บขยะตามชายหาดได้เมื่อมีโอกาส
               🐟 เลือกบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งที่ยั่งยืน ไม่จับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่
               😎 ท่องเที่ยวแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยพลังงานและมลพิษ
               📢 ร่วมเป็นกระบอกเสียงและรณรงค์ร่วมกัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
ร่วมรักษาทะเล เพื่ออนาคตของโลกใบนี้ 🌍

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2568
– องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) 2563
– องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) 2566
– THAIPUBLICA ไทยพับลิก้า : กล้าพูดความจริง 2021

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่สมุทรปราการติดตามสถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งเร่งเตรียมแผนรับมือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน

               วันที่ 6 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ณ จังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่วัดขุนสมุทรจีน อ.พระสมุทรเจดีย์ ชายฝั่งคลองด่าน อ.บางบ่อ และหลักเขตกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน โดยมี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ และ นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน โดยรองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำความสำคัญของการเตรียมมาตรการรับมืออย่างเป็นระบบ พร้อมเร่งผลักดันแผนแม่บทป้องกันและปรับตัวในระยะยาว เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต
               นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน โดยเฉพาะเขตจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร กำลังเผชิญกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและชุมชนที่มีประชากรกว่า 12 ล้านคนอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บางขุนเทียน ปากคลองขุนราชพินิจใจ บ้านขุนสมุทรจีน และบ้านแหลมสิงห์ โดยสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น คาดว่าในปี ค.ศ. 2050 ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 0.5 เมตร และอาจสูงถึง 1 เมตรในปี ค.ศ. 2100 ขณะที่ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เมตรหากเกิดการล่มสลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง การเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีน และบางปะกง รวมถึงการรุกตัวของน้ำเค็ม ซึ่งกระทบต่อการผลิตน้ำประปาและการเกษตรในวงกว้าง
               รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งศึกษาจัดทำ “แผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ เพื่อกำหนดแนวทางการรับมือที่เหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียและความเสียหายต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงจะมีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) การรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนและการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนชายฝั่งในระยะยาวด้วย
               ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี พ.ศ. 2569 ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการกำหนดแนวทางการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบนที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุม “การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS)” รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

               วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับบริษัททีพี 465 จำกัด และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ Nature-based Solutions (การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน) เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ห้องประชุม Infinity 2 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมี นายปวิช เกศวววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บริหารกรมฯ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ กว่า 80 คน
               การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทาง Nature-based Solutions (NbS) ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างศักยภาพผู้ปฏิบัติงาน และผลักดันการนำ NbS ไปประยุกต์ใช้ในระดับนโยบายและพื้นที่ปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการปรับตัวของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง NbS กําลังได้รับความสำคัญในการนํามาแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศเพื่อช่วยให้ผู้คนปรับตัวเข้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สามารถนําไปใช้กับหลายภาคส่วน และยังมีแนวทางและมาตรการนำ NbS มาปรับใช้ในสาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสาขาการจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan : NAP)

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”