DCCE เดินหน้าเวที UNFCCC ปี 2568 เน้นบทบาทไทยในเวทีโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์

               เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 – 26 มิถุนายน 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดย Mr. Simon Stiell เลขาธิการสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกลไกความร่วมมือพหุภาคี (Climate multilateralism) อย่างต่อเนื่องและชัดเจน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของความตกลงปารีสอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศสามารถสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้
               การประชุมครั้งนี้เน้นการเปลี่ยนจากแนวคิดนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และมีสาระสำคัญของการประชุม ประกอบด้วย การจัดทำตัวชี้วัดเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก กลไกสำหรับความสูญเสียและความเสียหาย แผนการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ผลกระทบที่เกิดจากการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลลัพธ์ของการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินการระดับโลก การพัฒนาและถ่ายโอนเทคโนโลยี และแผนงาน Baku to Belem Roadmap to 1.3T นอกจากนั้น ประเทศไทยได้เข้าร่วมนำเสนอรายละเอียดของรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 4 (BUR4) ในการประชุม The 18th Workshop of the Facilitative Sharing of Views (FSV) ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสริมสร้างความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลของประเทศ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบ E-Ticket ณ อช. หาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ย้ำรายได้คืนสู่การอนุรักษ์ – สวัสดิการเจ้าหน้าที่

               วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามความคืบหน้าและทดสอบระบบบริหารจัดการนักท่องเที่ยวผ่านระบบ E-Ticket พร้อมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมลงพื้นที่ฯ
               ดร. เฉลิมชัย รมว.ทส. เน้นย้ำว่า การนำระบบ E-Ticket มาใช้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการยกระดับการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาเงินรั่วไหล และการสวมสิทธิ์เข้าเที่ยวโดยไม่ชอบ “E-Ticket จึงไม่ใช่แค่ระบบจัดเก็บรายได้ แต่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างโปร่งใสและยั่งยืน โดยรายได้ที่จัดเก็บได้จะถูกนำกลับมาพัฒนาด้านสวัสดิการเจ้าหน้าที่ การบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
               ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายดำเนินการนำร่องระบบ E-Ticket ให้ครบใน 6 อุทยานแห่งชาติฝั่งอันดามัน ได้แก่ อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี อุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน อุทยานฯ อ่าวพังงา อุทยานฯ ธารโบกขรณี และอุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 และภายในปี 2572 จะขยายผลให้ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 156 แห่งทั่วประเทศ
               ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวเลือกซื้อตั๋วเข้าชมผ่านระบบ E-Ticket ได้ทั้งทาง Mobile Application และเว็บไซต์ พร้อมทั้งสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิด หรือการสวมสิทธิเข้าเที่ยวอุทยานฯ ได้ที่สายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

     

17 มิถุนายน วันทะเลทรายและภัยแล้งโลก (Desertification & Drought Day)

               17 มิถุนายน วันทะเลทรายและภัยแล้งโลก (Desertification & Drought Day) : ภายใต้แนวคิด “Restore the Land. Unlock the Opportunities : ฟื้นฟูผืนดิน เปิดโอกาส สร้างอาชีพ”
               เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร เยาวชน และประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของที่ดิน ภัยแล้ง และการแปรสภาพของที่ดินเป็นทะเลทราย ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเชื่อมโยงถึงความมั่นคงด้านอาหาร น้ำ เศรษฐกิจ และ การย้ายถิ่นฐาน
               โดยในปีนี้ วันทะเลทรายและภัยแล้งโลก (Desertification & Drought Day) มีเป้าหมายหลัก ในการเร่งดำเนินการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมของโลกกว่า 1.5 พันล้านเฮกตาร์ และกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการฟื้นฟูที่ดินมูลค่ากว่าล้านล้านดอลลาร์
ปัจจุบันความเสื่อมโทรมของที่ดินและภัยแล้งมีผลกระทบเป็นอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ เสถียรภาพการผลิตอาหาร น้ำ และคุณภาพชีวิต
               🗺️ การฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมของโลก 938 ล้านไร่ ..
               ✅ สามารถเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากรโลกถึง 200 ล้านคน
               ✅ สามารถสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ได้ 60 ล้านตำแหน่งทั่วโลกได้ภายในปี 2573 เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้มากถึง 25-50 %
               ✅ สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 3 พันล้านตันต่อปี
               🤝 ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมมือกันเพื่อพลิกฟื้นแผ่นดินและขจัดความเสื่อมโทรมของที่ดินทั่วโลกให้หมดไป การมีส่วนร่วมของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นสิ่งสำคัญในการหยุดยั้งและฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของที่ดินที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก เพื่อตอบสนองตามพันธกรณีของโลก

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมประชาสัมพันธ์, 17 มิถุนายน วันทะเลทรายและภัยแล้งโลก

กรมลดโลกร้อน เปิดเวทีความร่วมมือ เสริมศักยภาพธุรกิจโรงแรม รับมือการท่องเที่ยวยั่งยืน

               วันที่ 16 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนทซีโรคาร์บอน จำกัด บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ร่วมประชุมพัฒนากลไกทางการเงิน รูปแบบ และแผนความร่วมมือ โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน และมีผู้บริหารรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม จำนวนกว่า 27 คน ณ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               การประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนเครือข่ายผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดภูเก็ต ในการยกระดับการจัดการและเข้ารับการประเมินรับรองตามเกณฑ์มาตรฐานโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Green Hotel Plus) โดยมีเป้าหมาย 600 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2569 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainable Tourism Conference 2026-GSTC 2026) ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 4 เมษายน 2569 เพื่อยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวและปักหมุดการเป็น Green Destination ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งที่ประชุมได้มีแนวทางความร่วมมือที่สำคัญ คือ การร่วมกับกองทุน ThaiCI (Thai Climate Intiative Fund) และ ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด นำร่องพัฒนากลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ในการขับเคลื่อนเศรฐกิจคาร์บอนต่ำโดยพัฒนาระบบนิเวศในการอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการโรงแรม ในการ รับรองมาตรฐาน Green Hotel Plus ทั้งนี้ ได้มีข้อสรุปให้ร่วมหารือพัฒนารายละเอียดแผนการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การออกแบบการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมบรรยายในหลักสูตร “นโยบายเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการคาร์บอนสำหรับผู้บริหาร รุ่นที่ 1

               เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมบรรยายในหัวข้อ “นโยบายระดับประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (National Policies for Sustainability)” แก่ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร“นโยบายเทคโนโลยีและนวัตกรรมหารจัดการคาร์บอนสำหรับผู้บริหาร รุ่นที่ 1 (Carbon Management Technology and Innovation Policy for Executive #1” ณ โรงแรม แกรน เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพมหานคร โดยหลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารจากภาครัฐและภาคเอกชน ให้มีความรู้ความเข้าใจด้านการจัดการคาร์บอนที่ทันสมัย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
               ในการบรรยายครั้งนี้ นายปวิชฯ ได้กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก พร้อมชี้ให้เห็นถึงทิศทางของนโยบายระดับโลก และการดำเนินงานของประเทศไทยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในมิติของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation)
               นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอความคืบหน้าของการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) อย่างยั่งยืนในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน พัฒนา “ผู้นำแนวหน้า” สู่ภารกิจขับเคลื่อนงานโลกเดือดเชิงพื้นที่

               วันที่ 16 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาศักยภาพหัวหน้างานเพื่อรองรับการขับเคลื่อนภารกิจ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่” ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ โรงแรม ทินิดี บางกอก กอล์ฟ คลับ จ.ปทุมธานี เพื่อพัฒนา “ผู้นำแนวหน้า” สู่ภารกิจขับเคลื่อนงานโลกเดือดเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
                การฝึกอบรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถครอบคลุมทั้งการพัฒนาทักษะ ประสบการณ์ และความรู้ในระดับบุคคล แนวคิดและกลยุทธ์การเขียนแผนงาน/โครงการ การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระดับหัวหน้างาน ทิศทางการปฏิบัติราชการในอนาคต รวมถึงกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อการบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

16 มิถุนายน วันเต่าทะเลโลก (World Sea Turtle Day)

🐢 “เมื่อโลกร้อน เต่าก็เสี่ยงสูญพันธุ์” เต่าทะเลทั่วโลกมีทั้งหมด 8 ชนิด แต่พบในไทยเพียง 5 ชนิด แบ่งเป็น 2 วงศ์ คือ
– วงศ์ Cheloniidae มีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
               🐢 เต่าตนุ (Green turtle)
               🐢 เต่ากระ (Hawksbill turtle)
               🐢 เต่าหญ้า (Olive ridley turtle)
               🐢 เต่าหัวฆ้อน (Loggerhead turtle – พบได้น้อยมาก)
– วงศ์ Dermochelyidae มีอยู่เพียงชนิดเดียวคือ
               🐢 เต่ามะเฟือง (Leatherback turtle)
ซึ่งทั้งหมดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในปี พ.ศ.2535

เต่าทะเลมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ เช่น
               🌱 เต่าทะเลช่วยควบคุมสมดุลของพืชทะเล ไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป
               🐢 เต่าทะเลช่วยควบคุมปริมาณแมงกะพรุน ฟองน้ำทะเล ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
               🐢 ของเสียจากเต่าทะเล ช่วยเพิ่มอินทรีย์สารสู่ระบบนิเวศ ซึ่งช่วยการเติบโตของพืช
               🏝️ เต่าทะเล ยังสามารถเป็นตัวบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และสะอาดของแนวปะการัง แนวหิน และระบบนิเวศชายฝั่งได้อีกด้วย

แต่วันนี้ เต่าทะเลกลับเผชิญวิกฤตหลายด้าน โดยเฉพาะจาก โลกร้อนและกิจกรรมมนุษย์ เช่น :
ผลกระทบจากโลกร้อนที่เต่าทะเลต้องเจอ :
               ☀️ อุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลต่อเพศของลูกเต่าทะเล ที่จะมีสัดส่วนการฟักออกมาเป็นเพศเมียมากกว่า ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรเต่าทะเลในอนาคต
               🌊 ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น – พายุถี่และรุนแรง ทำลายแหล่งวางไข่
               🌱 แนวปะการังเสื่อมโทรม – หญ้าทะเลลดลง แหล่งอาหารหลักของเต่าทะเลหายไป
               ✅ แนวทางอนุรักษ์เต่าทะเลที่เราทำได้ทันที:
               ♻️ ลดโลกร้อน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเต่าทะเล รวมทั้งลดใช้พลาสติก – เลิกใช้ถุงพลาสติกและหลอดแบบใช้ครั้งเดียว ลดขยะลงสู่ทะเล
               🏖️ สนับสนุนเขตอนุรักษ์และแหล่งวางไข่ เช่น หาดไม้ขาว (ภูเก็ต), เกาะทะลุ (ประจวบฯ)
               🙋‍♀️ สนับสนุนการทำประมงอย่างยั่งยืน และบริโภคอาหารทะเลที่ไม่ทำร้ายเต่าทะเล โดยการเลือกซื้ออาหารทะเลที่ได้มาตรฐาน #MSC ซึ่งรับรองว่ามาจากการจับสัตว์น้ำแบบไม่ใช่อวนลากขนาดใหญ่

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, “วันเต่าทะเลโลก” (World Sea Turtle Day).
– Facebook : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช., พบรังไข่เต่าทะเลรังที่ 6 บนเกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์ – สัญญาณแห่งความหวังของการอนุรักษ์!
– ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (สพท.), “เต่าทะเล” ในโลกมี 8 ชนิด พบในประเทศไทย 5 ชนิด
– Facebook : WWF Thailand., #เต่าทะเล มีความสำคัญกับระบบนิเวศทางทะเลอย่างไร #WorldSeaTurtleDay.

เกษตรอินทรีย์ของแท้ ในความหมาย ‘ฟาร์มลุงรีย์’

               “การยึดแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” ในการทำธุรกิจเกษตรอาจไม่ได้เงินมาก แถมมีต้นทุนที่สูง หลายคนจึงอาจลังเล เพราะต้องคำนึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวัตถุประสงค์หลัก โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรออร์แกนิกที่ผู้คนส่วนใหญ่อยากจะเห็นการขยายตัวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเอาเข้าจริงจะว่ายากก็ใช่ จะว่าง่ายก็มีตัวอย่างความสำเร็จให้เห็น
               ชารีย์ บุญญวินิจ หรือ “ลุงรีย์” เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ว่า เขาผ่านร้อนผ่านหนาวในแวดวงเกษตรอินทรีย์มานานร่วม 12 ปี ทำให้กระจ่างชัดถึงความหมายและนิยามคำว่า “เกษตรอินทรีย์” ในแบบที่ควรจะเป็นและทำแล้วประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ

#ทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์-ออร์แกนิก
               “ออร์แกนิกก็ยิ่งใหญ่นะ คุมดิน คุมฝน คุมศัตรูพืช คุมอากาศ เอาเป็นว่าเรา (ฟาร์มลุงรีย์) ไม่ได้ใช้สารเคมีในการปลูกและไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงในการปลูก ผมก็นับว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดภัย ส่วนจะออร์แกนิกไม่ออร์แกนิก น้ำร่วมกับใคร อากาศร่วมกับใครเป็นประเด็นรอง ในเมื่อมนุษย์ไม่ได้วางยาซึ่งกันและกัน ผมก็ถือว่าเป็นความซื่อสัตย์อันดีที่ต้องเคารพต่อกัน”
               ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในมุมของลุงรีย์มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการแบ่งชนชั้น แบ่งนิยาม แบ่งแคตากอรี่ในรูปแบบที่เหยียดกันและทะเลาะกันเอง ทั้งที่หากมีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาปัญหาจะไม่เกิด อย่างเช่น คนทำเกษตรเคมีก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องทำจำนวน อย่าไปหลอกลูกค้าด้วยคำว่า ผักอนามัย ผักปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี
               ในขณะที่คนทำเกษตรออร์แกนิกก็บอกว่าทำเท่านี้ผลผลิตได้น้อย แต่ราคาสูงหน่อย คนที่ทำแบบไบโอไดนามิกก็บอกว่าผลผลิตไม่ใช่แค่ได้น้อย ผลผลิตมีแค่บางฤดูเท่านั้น ต้องทำอาชีพอื่นด้วย ตรงนี้เป็นอาชีพเสริม ผลผลิตได้ตามไหนก็ตามนั้น ตรงนี้เป็นส่วนเสริม ขายแค่คนรู้จัก โดยทั้งหมดนี้อยู่คนละเซกเมนต์ คนละตลาด
               “เราอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เหยียดกัน แต่ต้องเข้าใจกัน คนหนึ่งมีสวนเคมี 100 ไร่ ทำออร์แกนิก 10 ไร่ ไบโอไดนามิกครึ่งไร่ ไว้บริโภค อันนี้คือความจริงใจต่อกัน ไม่ใช่เหยียดกันไปหมด ความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่มันอาจเหมาะสมต่างกัน ไม่มีใครทำถูกทำผิดหรอก มีแต่ทำแบบไหนก็สื่อสารไปแบบนั้น” ลุงรีย์ ให้นิยามคำว่า “เกษตรอินทรีย์” และ “เกษตรออร์แกนิก” ในความหมายของเขากับทีมงาน “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม”
               จริงอยู่ หลายคนโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในธุรกิจเคมีอาจจะพยามให้ร้ายเกษตรออร์แกนิกหรือเกษตรอินทรีย์ว่าไม่มีของแท้อยู่จริง ซึ่งลุงรีย์ บอกว่าสำหรับฟาร์มเขาพูดได้เต็มปากว่า ปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี อยู่ในห้องที่ไม่สัมผัสบรรยากาศโดยรวม เป็นระบบปิด ทำแบบลูกทุ่งชี้วัดได้ สามารถพูดได้ว่ากึ่งออร์แกนิกที่ใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แต่ถ้าจะให้ออร์แกนิกที่ต้องมีใบอนุญาตขั้นตอนก็จะมีอีกมาก

#เกษตรอินทรีย์&ออร์แกนิก
               ก่อนจะพูดคำว่าออร์แกนิกหรือไม่ ต้องดูว่าออร์แกนิกใช่จุดขายที่แท้จริงไหม ถ้าทุกร้านออร์แกนิกเป็นออร์แกนิกกี่เปอร์เซนต์ และต้องบอกลูกค้าให้ชัดเจน อย่าเหมารวมทั้งหมด เช่น ออร์แกนิกบางฤดูกาล ไม่ใช่พูดคำว่าแอร์แกนิกจนเป็นปกติ ซึ่งเป็นการโกหก และลูกค้าที่เป็นตัวจริงเขาดูออก ดังนั้นต้องตั้งต้นด้วยความจริงใจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
               คำแนะนำของลุงรีย์ก็คือ การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนอาจไม่ทำให้เพิ่มเงิน จึงต้องคิดทบทวนดูว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม โดยตัวที่จะบอกว่าคุ้ม ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องสามขา คือ ทำแล้วคุ้ม ทุกคนหายใจดีขึ้น ไม่ตาย ไม่เป็นโรค แข็งแรง ต่อให้ไม่ได้เงินก็ต้องทำ ทำแล้วพนักงานทุกคนแข็งแรงขึ้น ควันมลพิษน้อยลง

#เกษตรอินทรีย์ทำยากแจ้งเกิดยาก
               ลุงรีย์บอกว่า การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นเรื่องยากจนเกินไป ขึ้นอยู่กับว่าใครพร้อมจะเปลี่ยนมาทำหรือไม่ ไม่ใช่ว่ายกเหตุผลต่าง ๆ มาเป็นข้ออ้าง เช่น ทำแบบนี้มานานมากแล้วไม่อยากเปลี่ยน หรืออ้างระบบราชการไม่สนับสนุน เพราะมีโครงการที่ดีที่ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยอยู่มาก อยู่ที่ว่าทำตัวให้พร้อมเข้าถึงหรือไม่ หรือถ้าอ้างเศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจก็ไม่ดีมาตั้งนานแล้ว
               “อย่าไปโทษกับดัก ไม่ว่ากับดักดอกเบี้ย กับดักเรื่องเงิน ติดกับดักตัวเองมากกว่า” ลุงรีย์ยอมรับว่า ตัวเขาเองก็เคยติดกับดักความเข้าใจเรื่องการเงินผิด ๆ เข้าใจการกู้ผิด ๆ เข้าใจธุรกรรมผิด ๆ หลังบ้านผิด ๆ บัญชีผิด ๆ มาก่อน และมาวันนี้คิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีขึ้นวันละ 1% ดีขึ้นทุกเดือน ๆ ละ 1% 12 เดือน 12% 2 ปี 24% 3 ปีเกือบ 50% ฉะนั้นแค่ดีขึ้นครั้งละ 1% แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ตั้งแต่แรกมันก็จบแล้ว
               “ควรไปดูว่าคนที่รอด เขาขยันกว่าเรากี่สิบเท่า มั่นคงกว่าเรากี่สิบเท่า ไม่รวมคนรวย ไม่รวมคนต้นทุนดี เอาคนที่ทุนเท่า ๆ เรา เขาขยันกว่า เขาฉลาดกว่า เอาเคสที่มันใกล้ ๆ กัน แล้วดูทำไมเขาไม่ทำแบบเดิม ทำไมเขาลองแบบใหม่ ทำไมเขายอมขาดทุนบางอย่าง”

#ไม่จำเป็นต้องปลูกทุกอย่างมาเป็นวัตถุดิบ
               อาจมีคนเข้าใจว่าการทำเกษตรอินทรีย์ต้องปลูกเองทุกอย่าง ลุงรีย์บอกไม่จำเป็น เพราะสามารถเลือกวัตถุดิบที่ดีจากคนอื่นที่ทำดีได้ ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด เช่น ข้าวจากชาวนาที่ไว้ใจ ปลาจากชาวประมงที่ไว้ใจ “เราสร้างมหาสมุทรข้างบ้านได้ไหมครับ เราสร้างภูเขา เราสร้างนาข้างบ้านได้ไหม ในยุทธศาสตร์แบบนั้นไม่ถูกต้องแล้ว ไปเอาสิ่งที่ดีไม่ดีมาเรียง อย่างข้าวนั้นดี หรือปลานั้นสด”
               “แต่ข้าวออกเมื่อไหร่ ถ้าข้าวออกสิ้นปี ซีซั่นนี้เรื่องอาหาร ข้าวควรเป็นเรื่องเด่นหรือเปล่า หรือถ้าฤดูปลามัน ฤดูปลาทู ฤดูปลาอินทรีย์มรสุมเข้า ตรงนี้ก็ควรจะบริโภคให้แมทชิ่งกัน การบริโภคตามฤดูกาลทำให้เราไม่ลำบาก ช่วงนี้ชาวประมงเขาอยากขายอย่างนี้ ช่วงนี้ชาวนาเขาอยากขายอย่างนั้น เราต้องทราบปฏิทินการผลิตในประเทศ อันนี้จะเอื้อต่อการเกิด BCG หรือการบริโภคแบบยั่งยืน” นอกจากนั้นแล้วในแง่การขาย เขาบอกว่า ข้าวไม่ได้เป็นได้แค่ข้าว ปลาไม่ได้เป็นได้แค่ปลา หมูไม่ได้เป็นได้แค่หมู ผักไม่ได้เป็นได้แค่ผัก แต่ต้องรู้ว่าของที่เอามาใช้ดียังไง ดีตอนไหน ขายตอนไหน ขายอย่างไร ทุกคนต้องรู้จักรูปแบบธุรกิจของตัวเอง ไม่ใช่ต้องปลูกทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกบ้านต้องมีโคกหนองนา หรือทุกคนต้องมีเครื่องสีข้าวเอง หมักคอมบูฉะเอง ต้องมองให้ขาดอันไหนเป็นทักษะ อันไหนเป็นรายได้ หรือเป็นฮอบบี้
               ที่สำคัญมากก็คือ การทำเกษตรอินทรีย์ต้องยึดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานของฟาร์ม นั่นคือการไม่เพิ่มภาระหรือมลพิษให้แก่โลก ซึ่งลุงรีย์บอกว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ 100% ทำเท่าที่ทำได้ เท่าที่ทำไหว อันไหนยังไม่พร้อมก็บอกลูกค้าไปตรง ๆ อันไหนทำได้ก็สื่อสาร ที่ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ อยู่ที่ว่าคุ้มไหมที่ต้องทำ ขยันแค่ไหนก็ทำเท่านั้น แต่ต้องสื่อสาร

#ทำธุรกิจรักษ์โลกอยู่ได้จริงหรือ
               ร้าน OmakaHed ของลุงรีย์ไม่ได้ใหญ่โต แต่เขาพอใจกับมันมาก เนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรทุกอย่างคุ้มค่า ต้นทุนต่ำ กำไรสูง เป็นธุรกิจที่ดี เล็ก ฟิต ไม่ซับซ้อน ความเสี่ยงต่ำ ใครจะนำไปเป็นกรณีศึกษาต้องมาดูไส้ในว่าความตั้งใจยังไง ทำจริงยังไง ละเอียดยังไง แตกต่างยังไง และสื่อสารยังไง
               ในความอยู่รอดของฟาร์มลุงรีย์ เขาบอกว่า ไม่ได้ทำแค่เกษตรหรือร้านอาหารอย่างเดียว แต่แบ่งเวลาไปรับงานอีเวนท์ด้วย…นี่คือที่มาความสำเร็จของเกษตรอินทรีย์ฉบับลุงรีย์

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านเวทีผู้นำอุตสาหกรรมยั่งยืน

               เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นวิทยากรบรรยายในหลักสูตร “Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL) รุ่นที่ 1“ จัดขึ้นโดย สถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม กนอ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีพร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษ ซึ่งมีผู้บริหารและบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
               ทั้งนี้ นายปวิชฯ ได้กล่าวถึงหัวข้อ “นโยบายและแผนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสถานภาพปัจจุบันของร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ“ เพื่อสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางบริหารจัดการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน บรรยายพิเศษ หลักสูตร TOP วบส. รุ่นที่ 1 เสริมพลังผู้นำขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ

               วันที่ 12 มิถุนายน 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม บรรยายหลักสูตรผู้นำวิทยาการจัดการระดับสูง (TOP วบส.) รุ่นที่ 1 ให้กับนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ศิษย์เก่าหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง และผู้เข้าร่วมจากภาคธุรกิจ รวมจำนวณ 30 คน ณ อาคารนวมินทราธิราช สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยได้บรรยายเกี่ยวกับความสำคัญของการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความก้าวหน้าของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งเปิดมุมมองเกี่ยวกับประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาองค์กร และธุรกิจให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และเติบโตแบบเศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”