ทำความรู้จักกับ “สภาวะ ENSO-Neutral”

               ENSO-neutral คือ สภาวะที่สภาพอากาศในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออก ซึ่งถือเป็นวัฏจักรของปรากฏการณ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ส่งผลต่อสภาพอากาศโลกของเราในแบบที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 2 เครื่อง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

จ้างซ่อมคอมพิวเตอร์ จำนวน 2 เครื่อง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 4 เครื่อง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

จ้างซ่อมคอมพิวเตอร์ จำนวน 4 เครื่อง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ซื้อวัสดุคอมพิวเตอร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

ซื้อวัสดุคอมพิวเตอร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

กรมลดโลกร้อน ติดตามความก้าวหน้าประเด็นการเจรจาในการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญา UNFCCC ประจำปี พ.ศ. 2568

               เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมหารือกับคณะผู้แทนไทย เพื่อรับทราบความก้าวหน้าการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 62 (SB 62) ในช่วงสัปดาห์แรก ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งจะนำไปสู่ประเด็นหารือในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
               โดยประเด็นสำคัญที่ได้มีการเจรจาที่ผ่านมา ได้แก่ (1) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภุมิอากาศ (Adaptation) โดยมีการหารือกำหนดตัวชี้วัดของเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวฯ (2) ความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and damage) (3) การทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) (4) การวิเคราะห์ช่องว่างของการวิจัยและการสังเกตการณ์ (Research and Systematic Observation) (5) การหา Safe Space ของประเทศภาคีในการดำเนินการตามแผนงานลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation Work Programme) (6) แนวทางดำเนินงานของแผนงาน Baku to Belem Roadmap to 1.3T เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินใหม่ (NCQG) (7) ความร่วมมือภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีส (😎 online portal สำหรับภาคเกษตร (9) การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) (10) การจัดการผลกระทบที่เกิดจากมาตรการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Response measure) (11) การเสริมพลังความร่วมมือ (Action for Climate Empowerment) (12) การเสริมสร้างศักยภาพ และ (13) เพศสภาวะ รวมถึงประเด็นการเข้าร่วมนำเสนอรายละเอียดของรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 4 (BUR4) ในการประชุม The 18th Workshop of the Facilitative Sharing of Views (FSV) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสริมสร้างความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลของประเทศ
               การประชุมนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ดร.พิรุณฯ ขอให้คณะผู้แทนไทยติดตามประเด็นต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบกับประเทศไทย ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการการประชุม COP 30 ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

DCCE ร่วมหารือ UNFCCC เดินหน้าภารกิจลดโลกเดือด เสริมพลังความร่วมมือระดับโลก

               เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ หารือร่วมกับ Ms. Maria Misovicova ตำแหน่ง Head of Resource Mobilization and Partnerships สำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ประจำปี 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
               ในการหารือดังกล่าว ฝ่ายไทยได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ อาทิ การจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ปี ค.ศ. 2035 (NDC 3.0) ที่มุ่งลดก๊าซเรือนกระจกเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของปีฐาน (Absolute Emissions Reduction) ปี ค.ศ. 2019 การบูรณาการแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่แผนปฏิบัติการรายสาขา ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่าย ยังได้แลกเปลี่ยนทรรศนะต่อแนวทางการขับเคลื่อนทรัพยากรของสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของประเทศภาคีได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเกิดผลลัพธ์จากการเจรจาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยพร้อมที่จะดำเนินงานร่วมกับสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาฯ และประชาคมโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อการบรรลุเป้าหมายตามความตกลงปารีสต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน นำทีมไทยร่วมเวที FSV18 แลกเปลี่ยนงานด้านโลกร้อน พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศ

               เมื่อวันที่ 19-20 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมการแลกเปลี่ยนมุมมอง (The eighteenth facilitative sharing of views workshop: FSV18) โดยมีประเทศเข้าร่วม 6 ประเทศ ดังนี้ 1. Bahamas 2. Bangladesh 3. Mali 4. Mozambique 5. Saint Kitts and Nevis 6. Thailand ซึ่งจัดขึ้นในห้วงการประชุม SBI 62 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมีนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนไทย ร่วมกับ รศ.ดร.บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดก๊าซเรือนกระจก รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ กลุ่มยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ของ สอวช. นายศิวัช แก้วเจริญ ผอ.กองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมลดโลกร้อน และคณะวิจัยด้านบัญชีก๊าซเรือนกระจกและลดก๊าซเรือนกระจก ม.ธรรมศาสตร์ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดย นายปวิช เกศววงศ์ กล่าวถ้อยแถลงถึงความสำคัญของกระบวนการ FSV ที่ช่วยพัฒนาการจัดทำรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 4 (Fourth Biennial Update Report: BUR4) และเน้นย้ำความสำคัญของการสนับสนุนทางการเงินและความร่วมมือระหว่างประเทศต่อการเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานตามพันธกรณีของกรอบอนุสัญญาฯ และการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และนำเสนอสาระสำคัญของรายงาน BUR4 ได้แก่ สถานการณ์ของประเทศ ข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2543 – 2562 ความสำเร็จของเป้าหมาย Nationally Appropriate Mitigation Actions (NAMAs) หรือการลดก๊าซเรือนกระจกก่อนปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) การสนับสนุนที่ต้องการและได้รับจากความร่วมมือระหว่างประเทศ และเตรียมความพร้อมตามกรอบความโปร่งใสภายใต้ความตกลงปารีส
               จากนั้นเป็นการถาม-ตอบจากภาคีในที่ประชุม ซึ่งไทยได้ตอบคำถามครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้อง อาทิ 1) แผนจะยกระดับไปใช้วิธีการคำนวณในระดับ Tier ที่สูงขึ้น และมีข้อจำกัดหรืออุปสรรคในการดำเนินงาน 2) จากการจัดทำรายงาน BUR ทั้ง 4 ฉบับที่ผ่านมา รวมถึงการดำเนินการในกระบวนการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical analysis) อยากให้ประเทศไทยแชร์บทเรียนสำคัญให้แก่ประเทศภาคีที่เพิ่งเริ่มต้นกระบวนการรายงาน และ 3) การบูรณาการข้อมูลของประเทศไทยได้ใช้วิธีการทางเทคนิคและสมมติฐานใดในการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องระหว่างข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกกับข้อมูลการคาดการณ์ (projections) ภายใต้การดำเนินงานตาม NDC ซึ่งภาคีหลายประเทศให้ความสนใจการดำเนินงานของประเทศไทย พร้อมทั้งชื่นชมความก้าวหน้าในการพัฒนาการจัดทำรายงาน BTR ของไทยเป็นอย่างมาก

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แทนคุณออร์แกนิคฟาร์ม โจทย์ท้าทาย ‘ปศุสัตว์อินทรีย์’

               คนจำนวนไม่น้อยอาจไม่คุ้นเคยกับการทำฟาร์ม “ปศุสัตว์อินทรีย์” หรือ “ปศุสัตว์ออร์แกนิก” หรืออาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการทำฟาร์มอินทรีย์นอกจากได้บริโภคอาหารปลอดภัยแล้วยังมีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย
ในภาพรวมภาคปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นประมาณ 14-15 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะก๊าซมีเทนจากการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้องคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากภาคเกษตร (1)
               ในปี 2565 ภาคเกษตรไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 68.93 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากภาคพลังงาน นั่นแสดงให้เห็นว่า การทำปศุสัตว์มีสัดส่วนในการทำร้ายโลกค่อนข้างสูง
ทางออกของปัญหานี้ก็คือ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำฟาร์มปศุสัตว์จากระบบเก่าไปเป็นระบบใหม่ ซึ่ง “แทนคุณออร์แกนิคฟาร์ม” ฟาร์มที่เลี้ยงทั้งไก่ หมู และเป็ด มีปณิธานแน่วแน่มาตั้งแต่ปี 2555 ว่าปศุสัตว์อินทรีย์คือตัวช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม
               “อำนาจ เรียนสร้อย” (3) ในฐานะเจ้าของฟาร์มอินทรีย์แห่งนี้ตั้งใจเปลี่ยนโฉมวงการปศุสัตว์ด้วยการผลักดันระบบเกษตรอินทรีย์ให้สามารถเข้าไปแทนที่อุตสาหกรรมปศุสัตว์และอาหารสัตว์ที่แม้จะเป็นเครื่องมือหลักป้อนอาหารให้ผู้คน แต่นั่นคือต้นตอหนึ่งที่สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
               จุดนี้เองที่ “อำนาจ” อยากเปลี่ยนต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ 70-80% ที่ต้องใส่เข้าไปในการลงทุนให้กลายเป็นวัตถุดิบที่มาจากระบบอินทรีย์ เพราะหากไม่เปลี่ยนระบบการผลิตอาหารโดยเฉพาะอุตสาหกรรมปศุสัตว์ การทำลายป่า ทำลายทะเลก็จะยังเกิดขึ้นต่อไป
               แทนคุณฟาร์มมุ่งขยายพื้นที่การทำปศุสัตว์อินทรีย์ให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค โดยการสนับสนุนเครือข่ายเกษตรกรที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบที่ทำลายล้างสิ่งแวดล้อม โดยวัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหารต้องรู้แหล่งที่มาที่ไป ถ้าเป็นพืชไร่ห้ามเผา ห้ามใช้สารเคมี ห้ามปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำหรือไม่ใช้ปลาป่น
               เขาอธิบายหลักการทำปศุสัตว์อินทรีย์มี 2 รูปแบบ รูปแบบที่หนึ่ง การเลี้ยงโดยปล่อยสัตว์ให้หากินในบริเวณที่กำหนดตามหลักการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ เช่น เลี้ยงไก่ตามมาตรฐานโรงเรือน 1 ตารางเมตร เลี้ยงได้ไม่เกิน 5 ตัว พื้นที่ปล่อยด้านนอก 1 ตัว ต้องใช้ 4 ตารางเมตรและไม่ใช่เลี้ยงขังในโรงเรือนอย่างเดียว ต้องมีพื้นที่ปล่อยให้ไก่ได้ออกมาแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ ตามบริบทความหนาแน่นที่เหมาะสมของสัตว์แต่ละชนิด
               รูปแบบที่สอง ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุดในการทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์นั่นคือ อาหารที่กินจะต้องเป็นไปตามคำนิยามมาตรฐานเกษตรออร์แกนิก ไม่ใช่การปล่อยให้หากินเหมือนไก่ป่า ไม่มีเล้าให้นอนในช่วงกลางคืนหรือปล่อยไก่นอนบนต้นไม้จนถูกงูหรือหมากินจนหมด ลักษณะนี้ถือว่าผิดมาตรฐานเพราะทำให้สัตว์ตกอยู่ในความเสี่ยง และเสียชีวิต
               สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงจะต้องผลิตมาจากระบบเกษตรอินทรีย์อย่างน้อย 80% ขึ้นไปของน้ำหนักแห้งที่ใช้เลี้ยง ตัวอย่างเช่น ไก่กินอาหาร 1 กิโลกรัม อย่างน้อย 800 กรัมจะต้องเป็นวัตถุดิบที่มาจากระบบเกษตรอินทรีย์ และมีใบรับรองขั้นต่ำคือ ออร์แกนิกไทยแลนด์ขึ้นไป อีก 20% ไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุดิบจากระบบเกษตรอินทรีย์ แต่ต้องสำแดงให้กับผู้ตรวจเห็นได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมี
               เขาย้ำว่า ข้อห้ามสำคัญของปศุสัตว์อินทรีย์คือการไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ แต่สามารถทำวัคซีนสัตว์ได้ เนื่องจากไม่มีหลักเกณฑ์ข้อไหนจากหน่วยงานไหนห้ามไว้ แต่ปัจจุบันมีอินฟลูเอนเซอร์บางคนไปสื่อสารให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ปศุสัตว์อินทรีย์ต้องไม่ทำวัคซีนซึ่งสร้างความเข้าใจผิดแก่เกษตรกรว่าการทำเกษตรอินทรีย์ห้ามทำวัคซีน
               อย่างไรก็ดี การทำปศุสัตว์ออร์แกนิกที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของประเทศ นั่นคือมาตรฐานออร์แกนิกไทยแลนด์ (Organic Thailand) โดย มกอช. (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ) และจากกรมปศุสัตว์ (DLD Organic) องค์กรภาครัฐที่มาร่วมกำหนดมาตรฐานด้วยกัน ซึ่งปศุสัตว์อินทรีย์เมื่อเทียบกับข้าวหรือพืชอินทรีย์อื่นก็คือ ปศุสัตว์จะมีตรารับรองสองตัวข้างต้น ส่วนข้าวพืชผักผลไม้มีแค่ออร์แกนิกไทยแลนด์
               “อำนาจ” อธิบายเรื่องสำคัญอีกเรื่องในแง่ความเข้าใจความหมายของคำว่า “เกษตรอินทรีย์”และคำว่า “ออร์แกนิก” ด้วยหลายคนอาจมองว่าความยากของคนทำอินทรีย์คือจะปกป้องตัวเองจากคนที่ทำเคมีอย่างไร ซึ่งอำนาจมองว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดและคิดไปเองว่า เกษตรอินทรีย์จะต้องปลอดเคมี 100% หรือไม่มีสารเคมีเลย
               “เกษตรอินทรีย์คือเกษตรที่ตั้งใจทำโดยที่ไม่ตั้งใจใส่สารเคมีลงไป แต่สารเคมีที่ปนเปื้อนมาจากรอบข้างในวงเกษตรอินทรีย์เขาไม่เอามานับ อย่าง Green Net สถาบันที่ผมนับถือที่สุด เขาบอกว่าเกษตรอินทรีย์คือเกษตรที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จบแค่นี้ เขาไม่ได้พูดว่าเกษตรอินทรีย์คือห้ามมีสารตกค้าง เพราะเราไม่ได้เป็นเกษตรในห้องแล็ป วันดีคืนดีเราทำนาอยู่ เกิดน้ำท่วมพัดพาสารเคมีจากที่อื่นมาอยู่ในแปลงเรา อันนี้เกษตรกรผิดเหรอครับ”
               คำถามก็คือ ทำไมปัจจุบันปศุสัตว์อินทรีย์ถึงโตได้ไม่มาก อำนาจบอกว่า ประเด็นแรก ไม่มีตลาดรองรับมากพอ ประเด็นที่สอง วัตถุดิบมีไม่เพียงพอ และเกษตรกรอาจขาดองค์ความรู้ ทั้งที่สามารถเข้าถึงได้จากดิจิทัลฟุตพริ้นต์ที่เขาถ่ายทอดไป หรืออีกหลายที่ทำไว้ลักษณะใกล้เคียงกัน
               ธุรกิจการเกษตรในนามแทนคุณฟาร์มไม่ได้ตั้งตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง แต่หาวัตถุดิบจากเครือข่ายกลุ่มเกษตรกร อย่างเช่น กลุ่มที่รวมตัวกันผลิตข้าวโพด ถั่วเขียว มันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบอินทรีย์ส่งให้ฟาร์ม ขณะเดียวกันก็หา Waste มาทำอาหารสัตว์ เช่น รับซื้อกระดองปูก้ามปูเปลือกปูมาตรวจแล็ปว่ามี Nutrition Profile (การจำแนกอาหารตามองค์ประกอบทางโภชนาการ) เพื่อนำมาทำสูตรอาหารสัตว์ ซึ่งพบว่ามีแคลเซียมและโปรตีนเสริมอยู่ด้วย
               จากเดิมที่ทิ้งเป็นขยะ และสร้างมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม เขาเลือกรับซื้อตันละ 10,000 บาท ทำให้กลุ่มประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่ม นี่คือการนำ waste เปลี่ยนมาเป็นอาหารสัตว์และสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อไก่ออร์แกนิก ไข่ไก่ออร์แกนิกที่มีมูลค่าสูง
               เป็นเหตุผลที่เนื้อไก่ของแทนคุณฟาร์มแพงกว่าไก่ทั่วไปสามเท่าตัว ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อได้ แต่ถ้าจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงมากขึ้น จะต้องขยายเครือข่ายผู้ผลิตวัตถุดิบอินทรีย์ป้อนฟาร์มให้มากขึ้นหรือให้กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อลดต้นทุนการขนส่งระยะทางไกล และทำให้เกิดกลุ่มเกษตรกรผลิตวัตถุดิบมากขึ้นเพื่อให้เกิดการแข่งขันเรื่องราคา
               “ทุกวันนี้แทนคุณฟาร์มโตขึ้นจากยอดขายเดือนละ 100,000 เป็นเดือนละ 3,000,000 ได้โดยไม่ต้องยิงแอดโฆษณา ทุกอย่างเป็นออร์แกนิกหมด และไม่มีหน้าร้าน โตอยู่ในโลกออนไลน์ ถ้าผมมีหน้าร้านสัก 10 แห่งสเกลจะขนาดไหน”
               “อำนาจ” ต้องการให้มีการสื่อสารเนื้อหาให้ผู้บริโภคมีความรู้ในการเลือกกินอาหารที่มาจากระบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้นเพราะเมื่อมีผู้บริโภคมากขึ้น โอกาสจะขยายเครือข่ายเกษตรกรก็มากขึ้นตาม และนี่เป็นเหตุผลที่เขาเตรียมจะเปิดระดมทุนและจัดตั้งเป็นบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อให้ขยายปศุสัตว์อินทรีย์ให้โตขึ้นอีก
               หลักการทำธุรกิจของแทนคุณฟาร์ม นอกจากผลิตเองเป็นหลัก ยังทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงที่คัดเลือกมาอย่างน้อย 5 คนขึ้นไปต่อกลุ่ม มาร่วมทำฟาร์มอินทรีย์ตามมาตรฐาน โดยแทนคุณฟาร์มจะวางแผนการผลิตให้ “อย่างเช่น อาทิตย์หนึ่งแทนคุณฟาร์มขายไก่ได้ 1,000 ตัวก็คือจะต้องมีไก่อาทิตย์ละ 1,000 ตัว ถ้าผมเลี้ยง 600 ตัว อีก 400 ตัวจะไปแจกจ่ายให้กับเครือข่ายที่มี และรับซื้อคืนผลผลิตทั้งหมดในราคาประกันที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าภาวะตลาดของเราจะเป็นอย่างไร
               “เราจะต่างจากพ่อค้าคนกลางที่ช่วงนี้ตลาดดีเอามา แต่พอช่วงขายยากก็ไม่รับซื้อหรือซื้อแค่ครึ่งเดียว สมมติวันนี้ผมขายไม่ได้เลย แต่ผมได้ตกลงไปแล้วกับเครือข่าย 400 ผมก็ต้องซื้อทั้งหมด 400 ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุแบบนั้นและไก่ในราคาอุตสาหกรรมผมซื้อแพงกว่าหนึ่งเท่าตัว และผมก็ยังไม่เห็นว่าที่ไหนทำได้”
               อีกความตั้งใจของอำนาจก็คือ มุ่งหวังให้เครือข่ายเกษตรกรปศุสัตว์อินทรีย์สามารถพึ่งพาตัวเองได้ตั้งแต่ต้นยันจบ “ผมยินดีถ้าเกษตรกรทั่วประเทศจะทำได้แบบผม แล้วผมปิดแทนคุณฟาร์มไปเลย ผมก็ยินดี”
               ถามย้ำ นี่คือความมุ่งหมายในการขยายปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อแทนที่อุตสาหกรรรมปศุสัตว์แบบเก่า เขาตอบ “ใช่ครับ อันนี้คือความตั้งใจสูงสุดเลยที่ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง”

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) BBC., The cows that could help fight climate change.
(2) กรุงเทพธุรกิจ, “ปศุสัตว์” สีเขียว อาหารปลอดภัย ลด “ก๊าซเรือนกระจก”
(3) สัมภาษณ์ อำนาจ เรียนสร้อย เจ้าของแทนคุณออร์แกนิคฟาร์ม

บทเรียน 12 ปี ฟาร์มลุงรีย์ Smart Farmer วิถีเศรษฐกิจหมุนเวียน

               ผู้สร้างจักรวาลไส้เดือนด้วย “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) และสามารถต่อยอดธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นที่ประจักษ์ บนพื้นที่ขนาดย่อมแค่ 2 งาน ในซอยเพชรเกษม 46 กรุงเทพฯ กระทั่งถูกยกให้เป็นฟาร์มเมอร์ตัวอย่าง ที่สามารถสร้างการเรียนรู้วิถี Smart farmer จนเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง
               ชารีย์ บุญญวินิจ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “ลุงรีย์” เปิดใจ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ถึงบทเรียน 12 ปี ที่เขาได้พัฒนาการทำเกษตรด้วยการรู้จักตัวตนและความต้องการที่แท้จริง กระทั่งสามารถเปิดร้านอาหารจนมีลูกค้าหลงไหลในรสชาติที่อบอวนไปด้วยความสุข
               ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของลุงรีย์มีทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไส้เดือน ควบคุมระบบน้ำด้วยไวไฟ กลายเป็น Digital farming บริหารจัดการฟาร์มผ่าน 4 เสาหลัก นั่นคือ1) จักรวาลไส้เดือน สร้างเครือข่ายคนมาร่วมพัฒนาสร้างสรรค์ดิน 2) การใช้นวัตกรรม ฟาร์มที่นำนวัตกรรมมาช่วยให้การทำเกษตรง่ายขึ้น 3) การผลิตองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งทำให้ฟาร์มแห่งนี้มีความสร้างสรรค์ และ 4) ความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นภาพลักษณ์และมาตรฐานของแบรนด์ฟาร์มลุงรีย์

เริ่มต้นจากทำเล็ก ๆ ทำให้น้อยที่สุด
               ลุงรีย์แนะว่า ถ้าคิดจะทำเกษตรอย่าเพิ่งทำใหญ่ ทำให้น้อยที่สุดก่อน แล้วดูจุดคุ้มทุนว่าอยู่ตรงไหน ใช้เวลาเท่านี้จะได้งานอะไร “มันครอป (ผลผลิตที่ได้) เมื่อไหร่ได้เงินเท่าไหร่ เหมือนทำบัญชีก่อนเลยว่าต้นทุนเท่าไหร่ต่อแบท (Batch-ต้นทุนต่อรอบการผลิตหรือเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์) แบทหนึ่ง 6 กระบะหรือ 4 กระบะ ถ้าเราหาจุดคุ้มทุนได้ตั้งแต่ต้น เราก็จะรู้ว่าโหนด (Node-แปลงหนึ่งหรือหน่วยหนึ่ง) หนึ่งเท่านี้บาท เช่น โหนดหนึ่ง 5,000 บาท ถ้าเราคูณสิบ ต้นทุนก็ 50,000 บาท จะทำให้เรารู้ว่าต่อแบทใช้เงินเท่านี้กำไรเท่านี้”
               แน่นอนว่าหลายคนที่คิดจะทำเกษตรมักอยากทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งปรับพื้นที่ ปลูกผัก เลี้ยงไก่โดยไม่รู้ว่าตัวเองถนัดทำอะไรหรือไม่ถนัดอะไร ต้องคิดว่าตัวเราชอบทำในสิ่งที่ถนัดแล้วไม่เห็นเงิน หรือทำในสิ่งที่ชอบน้อย แต่ได้เงินมาก จากนั้นมาวางแผนว่าอะไรเหมาะสมกับตัวเอง “เช่น ถนัดทำเยอะ ๆ แต่ขายถูก หรือเราถนัดทำน้อย ๆ แต่ขายแพง เราอยู่ตลาดไหน เราขายใคร มันต้องเห็นหน้าตาชัดหมด แล้วค่อยสเกล (ขยาย) แต่ส่วนใหญ่อยากทำพร้อมกันทั้งหมดแล้วไม่เห็นอะไรเลย บัญชีก็ไม่เห็น พอผลผลิตออกมาก็รับมือไม่ไหว ขายไม่ถูก แปรรูปไม่เป็น ตลาดอยู่ที่ไหน”
               ประเด็นที่ลุงรีย์ต้องการจะสื่อสารก็คือ การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเกษตรหรือการมีพื้นที่มากที่น้อย แต่อยู่ที่ว่าใครจะนำของเหลือส่วนเกินมาใช้อย่างไร ไม่ได้มีแค่มุม Waste (ขยะ) ดังนั้นนอกจากใจเย็น ๆ ต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า ตัวเราเองเป็นคนแบบไหน มีพื้นที่เท่าไหร่ กำลังเอาของไปขายใคร ทำยังไงให้ลดต้นทุน ไม่ใช่เห็นอื่นเขาทำอย่างนั้นแล้วอยากทำตาม

ลงมือทำแล้วต้อง “สื่อสาร”
               สิ่งที่ลุงรีย์ให้ความสำคัญมากก็คือ “การสื่อสาร” จะต้องเล่าในสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้เข้าใจ เริ่มตั้งแต่ลูกน้องว่า การไม่โยนขยะในร้านทิ้งลงถัง (ปัจจุบันลุงรีย์เปิดร้านอาหารชื่อ OmakaHed) คือการสร้างมูลเพิ่มจากขยะ ให้เข้าใจว่าขยะคือเงิน และเป็นจุดประสงค์ของการเปิดร้านแบบนี้
               นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องอธิบายให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารได้เข้าใจการนำวัตถุดิบมาใช้ อย่างเช่น เห็ดหรือต้นหอมที่นำมาประกอบอาหารมีการนำส่วนไหนมาใช้จนหมดโดยไม่เหลือทิ้ง ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่าร้านของเรามีความประณีต
               “ค่าของการประณีตมีค่าเสียเวลา และประหยัดต้นทุนเพราะใช้ของที่คุ้มค่ามากที่สุด สุดท้าย หนึ่งเราได้สร้างนิสัยของการใช้อย่างหมดจด สองเราฉลาด เราเรียบเรียงสเต็ปหนึ่งสองสามสี่ห้าหก ใช้อย่างหมดเกลี้ยง โอเคแบบนั้น (เดิม) มันเร็วที่สุด แต่คนที่วิ่งเร็วที่สุดในตอนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่รวยที่สุดก็ได้”

บทเรียนมีอยู่เสมอแต่ต้องปรับตัวตลอด
               ลุงรีย์ บอกว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่ได้บอกว่ามีความมั่นคงแล้ว แต่ที่รอดมาได้เพราะมีการปรับตัวมาตลอด วันนี้ฟาร์มอินทรีย์แห่งนี้ปรับตัวพร้อมสำหรับโควิด พร้อมสำหรับ PM2.5 พร้อมสำหรับ Climate change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) สิ่งที่ต้องปรับเพิ่มคือโซลูชัน หรือทางเลือกทางแก้ไขทางหนีทางรอด
               ที่มากกว่านั้นลุงรีย์บอกว่า ต้องรู้ว่าฤดูกาลไหนควรขายอะไร หน้าฝนคนอยู่บ้านอาจสั่งอาหารออนไลน์กิน ต้องดันคหกรรมหรืองานหัตถกรรมให้สูงขึ้น แต่หน้าหนาวคนอยากดูเกษตร ผักมันฟูมันสวย อยากพาลูกไปวิ่งเล่น อากาศดี อาจจะต้องดันเกษตรเพิ่ม ส่วนคหกรรมปลายปีมีแฟร์เต็มไปหมดอาจจะต้องลดลง
               “อันนี้เท่ากับเราสามารถกำคันเร่งได้ว่าตรงนี้ถ้ามันไปไม่ได้ ปรับตรงนี้เพิ่มขึ้น ปรับตัว ปรับแผนธุรกิจตลอดเวลา มันจึงอยู่รอด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นมา แล้วเราจะไปต่อในคุณค่าที่ตัวเองบอกว่าตัวเองดี แต่ไม่ได้ดูจังหวะ ไม่ได้ดูสังคม”
               เขาบอกว่าด้วยว่า ต้องรู้ว่า waste ที่เกิดขึ้นมีกี่แบบ waste ทั้งเวลา waste ทั้งคน waste ทั้งของ waste ทั้งขยะสะสม หรือ waste เรื่องค่าเช่า waste ค่าไฟ เราต้องรู้ว่า waste อะไร และอะไรจะเข้ามาแก้ไข หรือเปลี่ยนจากการนั่งทำออนไลน์เป็น Word of mouth เป็นปากต่อปาก เมื่อเน้นปากต่อปากแล้วก็ไม่ต้องทำออนไลน์
               หลักการของลุงรีย์ก็คือ ทำแล้วเกิดผลประโยชน์ ทำให้ทรัพยากรดีขึ้น ซึ่งเรื่องเงินชัดที่สุด ทำแล้วลูกน้องได้เงินเยอะขึ้น ได้จ้างงานเยอะขึ้น อาจจะได้เงินเท่าเดิมแต่เกิดประโยชน์กับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะสิ่งที่ทำนั้นทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรือทำแล้วไม่ได้เงิน ไม่ได้งาน แต่บรรยากาศในชีวิตดีขึ้น อากาศที่หายใจบริสุทธิ์ขึ้น รอบ ๆ ที่ทำอยู่เขียวขึ้น ขยะที่อยู่บริเวณบ้านน้อยลง จึงต้องบาลานซ์ให้ดีว่าจะเลือกขาไหน แต่โลกนี้ก็ไม่มีได้ทั้งสามอย่าง อาจจะต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือมีบางอย่าง แต่สุดท้ายมันตอบโจทย์เราหรือเปล่า

ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาและจัดการให้ลงตัว
               ลุงรีย์แนะว่า การจัดการขยะอาหารโดยใช้แมลงวันลาย ใช้ไส้เดือน ต้องรู้ว่าถ้าเป็นกุ๊กไก่จะใช้ข้าวก้นหม้อ เลี้ยงไส้เดือนใช้กากผลไม้ ถ้าเศษอาหารที่เละ ๆ ให้หนอนแมลงวันลาย ถ้าเอาข้าวทั้งหม้อไปเทให้ไส้เดือนกินมันเน่าบูด ร้อนตาย ถ้าเอากากผลไม้ไปโยนให้ไก่กิน…เหยียบเละ ถ้าใช้เครื่องมือผิดตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดประโยชน์
               “ที่ต้องมีหลายอย่าง ชอบอย่างละนิด ชอบได้ยินเสียงไก่มีลูกเล็ก เลี้ยงไส้เดือนเป็นจุดเริ่มต้นของดินที่ดี ได้ปุ๋ยใช้ เลี้ยงหนอนแมลงวันลายได้อาหารไก่กิน ก็ตอบโจทย์ตัวผม ไม่รบกวนเวลาผมมาก ทุกอย่างจบ มีรูทีน ลูปจบในหนึ่งเดือน ไก่ออกไข่ทุกวัน เห็นประโยชน์จะจะทุกวัน
               “พอปุ๋ยไส้เดือนเยอะลุงรีย์ขายปุ๋ยไม่ไหว ลุงรีย์อยากเพาะเห็ดก็เลยเกิดการเชื่อมโยงว่าไม่ต้องไปวิ่งขายปุ๋ยนะ ไม่ต้องไปวิ่งขายเห็ดนะ แต่ได้ดอกเห็ดคุณภาพสด ได้คุณภาพดีโดยที่ไม่ต้องเปิดแอร์เลี้ยง มันก็คุ้มทุนแหละ แต่มันเก็บได้ไม่นาน
               “ลุงรีย์ก็เลยทำเรื่องการ booking ทำให้รู้ว่าต้องปลูกผักเท่าไหร่ต่อเดือน แล้วคนก็จองเข้ามาจ่ายเงินเรียบร้อย 100% อีกเดือนค่อยมากินและก็ไม่ waste เพราะเรารู้ว่าต้องปลูกเห็ดประมาณ 80 กะบะ เพื่อต้อนรับลูกค้าประมาณ 80 คน…ไม่น่าต้องใช้พนักงานเยอะมาก มีการเตรียมงานได้ ทำเองได้ และรู้ว่าจะมีรายได้ชัดเจนต่อโต๊ะเท่าไหร่ นั่งกี่ชั่วโมง หารออกมาเป็นค่าตัวเรา ค่าไอเดียเรา ก็โอเคชัดเจน ถ้าอยากเพิ่มกว่านี้ก็คูณสอง…”
               นี่คือหลักคิดหลักบริหารของ ลุงรีย์ – ชารีย์ บุญญวินิจ ที่กลั่นการทำเกษตรอินทรีย์ออกมาเป็นความสำเร็จในช่วง 12 ปี

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทส. ครั้งที่ 6/2568

               ในวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 6/2568 ณ ห้องประชุม ชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมและรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ปัญหาอุปสรรคการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในภาพรวมของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งโครงการก่อสร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือผู้รับจ้างทิ้งงาน
               โดย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งรัด ติดตามการดำเนินงาน และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณรายจ่ายลงทุน ขอให้เร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างและผูกพันสัญญาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และการเบิกจ่ายให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานภาพรวมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”