“ทส. ดันเวที TCAC 2025 จุดพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน หนุนกฎหมาย-การเงิน-เทคโนโลยี สู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ก่อนถ่ายทอดสู่ COP 30 ที่บราซิล”

“ทส. ดันเวที TCAC 2025 จุดพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน หนุนกฎหมาย-การเงิน-เทคโนโลยี สู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ก่อนถ่ายทอดสู่ COP 30 ที่บราซิล”

          30 กันยายน 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด–Inspiring Climate Solutions for All” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ได้รับความสนใจจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน เยาวชน และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมพร้อมร่วมกิจกรรมและชมนิทรรศการ รวมมากกว่า 11,000 คน
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวปิดการประชุมว่า TCAC 2025 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จร่วมกับประชาคมโลก ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญจากเวที TCAC 2025 มีดังนี้
• การปาฐกถาเปิดประชุมโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้คำมั่นผลักดันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบเท่าระดับสากล พร้อมเร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว รวมถึงผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในระดับภูมิภาค
• เวที From Vision to Action โดยเยาวชน นางสาวไทย ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ส่งสารสำคัญว่า “ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจังและเข้มแข็งเท่านั้น คือ กุญแจสำคัญในการปกป้องโลกให้ลูกหลาน”
• Climate Literacy ชี้ว่า “ความรู้ ทักษะ การลงมือทำ” คือ สมการที่นำไปสู่การอยู่รอดท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน
• Climate Risk Management เน้นยุทธศาสตร์จัดการความเสี่ยงระดับเมือง และพัฒนากลไกความร่วมมือของประชาชน ควบคู่กับ เทคโนโลยีและข้อมูลเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ
• พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนให้ดำเนินการได้จริงในสังคม พร้อมการสื่อสารที่เข้าใจง่าย นำไปสู่ความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
• Slow on-set event มุ่งแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการประยุกต์องค์ความรู้ เทคโนโลยี ร่วมกับการใช้แนวทางแก้ไขปัญหาด้วยธรรมชาติ หรือ Nature Based Solutions สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน
• COP 30 เพิ่มความเข้าใจบทบาทนักเจรจาและกลไกภายใต้อนุสัญญาฯ เพื่อความร่วมมือบนหลัก “3P: Public–Private–People” (รัฐ-เอกชน-ประชาชน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• เศรษฐกิจ–สังคม–เทคโนโลยี แนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด Technology Transition และ Climate Resilience Solutions
• Climate Finance สร้างโอกาสความร่วมมือทางความคิดสู่การปฏิบัติด้านการเงิน ผ่านสถาบันการเงิน ตลาดทุน ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน และในครั้งนี้ กรมฯ ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนับสนุนเงินทุน สู่ 12 โครงการของภาคประชาชน เพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมขยายผลต่อเนื่อง
• เวที Youth Message from Local to Global ส่งเสริม “Meaningful Youth Participation” ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับผิดชอบ ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้รับ” แต่เป็น “พาร์ทเนอร์” เพื่อขยายผลไปสู่ความยุติธรรมและความเสมอภาคระหว่างรุ่น
          ดร.พิรุณ กล่าวย้ำว่า ผลลัพธ์จาก TCAC 2025 จะไม่จบเพียงเวทีประชุม แต่จะถูกต่อยอดเป็นนโยบาย การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสื่อสารสะท้อนสู่ประชาคมโลกในการประชุม COP 30 ณ สหพันธรัฐบราซิล ในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและหวังให้พลังความร่วมมือนี้ เป็นแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม “Climate Action is People Action”
          ทั้งนี้ การจัดงาน TCAC 2025 เป็นการจัดงานแบบปลอดคาร์บอน หรือ Carbon Neutral Event โดยใช้คาร์บอนเครดิตมาตรฐาน T-VER มาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากงานเท่ากับศูนย์ ถือเป็นตัวอย่างการจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ตารางราคากลาง จ้างที่ปรึกษาเตรียมความพร้อมเพื่อขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดทำกฎหมายลำดับรอง

รองนายกฯ สุชาติ เปิดประชุม TCAC 2025 ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตคาร์บอนต่ำ

รองนายกฯ สุชาติ เปิดประชุม TCAC 2025 ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตคาร์บอนต่ำ

         29 กันยายน 2568 – นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด – Inspiring Climate Solutions for All” โดยมีคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต องค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมการประชุม กว่า 2,000 คน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo (SX)
         นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “การจัดงาน TCAC 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกุล ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วน เชื่อมโยงกับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้บรรจุไว้ในนโยบายหลักของรัฐบาลที่จะแถลงในวันนี้ ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ โดยพื้นที่ความเสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งการประชุม TCAC 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญที่จะแสดงศักยภาพและความสามัคคี ในการกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกับประชากรโลก ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด” ที่ทุกคนต้องทำเพื่อโลกนี้ เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเราในอนาคต อีกทั้ง ความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ตามข้อตกลงปารีส ที่ได้กำหนดเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบันอุณหภูมิโลกได้สูงถึง 1.75 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาคลื่นความร้อนสูง น้ำท่วมในช่วงฤดูฝน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง กระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและความมั่นคงของประเทศ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องเร่งขับเคลื่อนแผนการปรับตัว โดยเฉพาะการเตือนภัยล่วงหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรม และถึงแม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง ร้อยละ 1 ของโลก แต่กลับได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจึงได้กำหนดเป้าหมาย “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” ภายในปี ค.ศ. 2050 และในปี ค.ศ. 2025 จะจัดส่ง “NDC 3.0” โดยวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 5 ภาคส่วนหลัก คือ พลังงาน การขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย และการเกษตร ให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2035
         นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงาน ผ่าน 4 ด้าน คือ กลไกทางนโยบาย การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกทางการเงิน กองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อนำเงินจากผู้ก่อมลพิษมาสนับสนุนผู้ลดมลพิษ รวมถึงประเทศไทยได้มุ่งพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิต” ในระดับอาเซียนอย่างเป็นระบบและครบวงจร สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โอกาสการลงทุน พัฒนารูปแบบการเงินแบบใหม่ และมุ่งหวังให้ “คนรุ่นใหม่” เป็นกำลังสำคัญร่วมกับ “คนรุ่นใหญ่” สนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง
         “สุดท้ายนี้ มีความมุ่งหวังและตั้งใจที่จะส่งเสริมการดำเนินงานของประเทศไทย และขอเชิญชวนทุกท่านได้นำแรงบันดาลใจที่ได้รับในวันนี้มาร่วมสร้างอนาคต เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สามารถเดินไปด้วยกันได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่สำคัญ มาร่วมสร้างอนาคต สร้างโลกที่น่าอยู่ของพวกเราทุกคนในวันนี้ และส่งต่อให้ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าไปด้วยกัน”
ด้าน ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “การประชุม TCAC 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29–30 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากทุกภาคส่วนกว่า 2,000 คน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ คณะทูต ภาคประชาชน และเยาวชน โดยกำหนดรูปแบบการเสวนาครอบคลุมทั้งด้านนโยบายภาครัฐ นวัตกรรมและการวิจัย การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในทุกภาคส่วนมาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างสรรค์ความร่วมมือในทุกมิติ อีกทั้ง ยังมีการจัดนิทรรศการเพื่อนำเสนอการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการจัด Climate Clinic เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ปีนี้เป็นปีแรกที่กระทรวงฯ ได้สร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและประชาชนโดยตรง ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจับคู่ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายชุมชน 12 พื้นที่ พื้นที่ละ 2 แสนบาท ซึ่งจะทำให้เกิดผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนนับจากการประชุมครั้งนี้ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะส่งต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหลังจากการประชุม TCAC 2025 ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุมนี้รวมถึงการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP 30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายนนี้”
        การประชุม TCAC 2025 เวทีสำคัญที่รวมพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผลักดันนวัตกรรม และสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม และก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ทส.จัดนิทรรศการ TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด : Inspiring Climate Solutions for All” ในงาน SX

ทส.จัดนิทรรศการ TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด : Inspiring Climate Solutions for All" ในงาน SX

          กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมจัดนิทรรศการ TCAC 2025 ในงาน SX Sustainability Expo 2025 มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด : Inspiring Climate Solutions for All” เพื่อส่งสัญญาณว่า ถึงเวลาต้องลงมือทำแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเชื่อมโยงความร่วมมือทุกภาคส่วนในการพัฒนาอย่างยั่งยืนสู่เป้าหมาย Net Zero และภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 ได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมฯเยี่ยมชมบูธนิทรรศการทส. ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยกิจกรรมภายในบูธนิทรรศการ ทส. ประกอบด้วยบอร์ดนิทรรศการเชื่อมโยงความรู้หัวข้อหลัก “7C” 1.Climate Policy 2.Climate Action 3.Climate Technology 4.Climate Resilience Solution 5. Climate finance 6.Climate Service 7.Climate Literacy พร้อมทั้งเปิด Climate Clinic เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยในวันนี้เป็นหัวข้อ “Green Climate Fund and Adaptation Fund” และมีกิจกรรมเกมให้ความรู้เรื่องโลกร้อน การเขียนความรู้สึกที่ฉันมีต่อโลกใบนี้ กิจกรรมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พร้อมแจกของรางวัลมากมาย โดยในวันนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมภายในบูธ ทส. กว่า 900 คน
          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ประกาศร่าง TOR ประกวดราคาจ้างจัดทำโล่รางวัล เกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วิจารณ์ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 1 ตุลาคม 2568 โทร. 02-298-5649 e-mail:dccecenter@dcce.mail.go.th

ร่างขอบเขตของงานจ้างจัดทำโล่รางวัล เกียรติบัตร เและเข็มเชิดชูเกียรติ ทสม.

ตารางราคากลางจ้าจัดทำโล่รางวัล เกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น

ตารางราคากลางจ้างจัดทำโล่รางวัล เกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น

ประกาศเปลี่ยนแปลงเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี พ.ศ. 2569 ของกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประกาศร่าง TOR ประกวดราคาซื้อเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ (Gas Chromatography,GC ) จำนวน 1 เครื่อง ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วิจารณ์ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 1 ตุลาคม 2568 โทร. 02-577-4182-9 ต่อ 1113 e-mail:dccecenter@dcce.mail.go.th

กรมลดโลกร้อน เข้าร่วมแสดงความยินดี “สุชาติ ชมกลิ่น” พร้อมเดินหน้าภารกิจตามนโยบาย ชู 5 แนวทางขับเคลื่อนงาน หวังเห็นผลภายใน 4 เดือน

กรมลดโลกร้อน เข้าร่วมแสดงความยินดี “สุชาติ ชมกลิ่น” พร้อมเดินหน้าภารกิจตามนโยบาย ชู 5 แนวทางขับเคลื่อนงาน หวังเห็นผลภายใน 4 เดือน

          วันที่ 26 กันยายน 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เข้าปฏิบัติหน้าที่วันแรก ณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้สักการะ “พระพุทธสยัมภู” และ “พระภูมิเจ้าที่” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯ จากนั้นได้เข้ายังอาคารกระทรวงฯ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 และอัญเชิญพระพุทธชินราชประดิษฐานในห้องทำงาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนอย่างอบอุ่น
นายสุชาติ กล่าวว่า การได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งครั้งนี้ เป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตการทำงาน และขอให้คำมั่นว่าจะทุ่มเททำงานอย่างเต็มความสามารถ โดยจะน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์มาใช้เป็นแนวทางหลัก พร้อมทั้งขอบคุณนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มอบความไว้วางใจให้ร่วมขับเคลื่อนรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งแม้จะมีกรอบเวลาการทำงานเพียง 4 เดือน แต่มั่นใจว่าจะสร้างผลลัพธ์ที่ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมได้
          สำหรับทิศทางการดำเนินงานได้วาง 5 แนวทางสำคัญ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และตอบสนองความต้องการของประชาชน ได้แก่
1) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อประชาชน โดยเน้นการดูแลป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงการอยู่ร่วมกับป่าและสัตว์ป่า โดยบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ
2) การส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าเป็นฐานการสร้างรายได้ให้ชุมชนและประเทศ
3) การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติเชื่อมโยงข้อมูลและศักยภาพทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ เพื่อเข้าถึงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
4) การจัดการสิ่งแวดล้อม เร่งแก้ไขปัญหา PM 2.5 หมอกควัน ไฟป่า และมลพิษข้ามแดน ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
5) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการประชาชน
ปรับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลเจ้าหน้าที่ด่านหน้าให้มีสวัสดิการที่ดีขึ้น
          ทั้งนี้ นายสุชาติ ได้กล่าว ทิ้งทาย ว่า “ผมขอให้คำมั่นสัญญากับพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี และด้วยความร่วมมือของข้าราชการทุกฝ่าย เราจะทำให้การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด”
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”