ตารางราคากลางจ้างที่ปรึกาาดำเนินโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน

ตารางราคากลางจ้างที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

ประกาศเลขที่ 55/2568 ลงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568 ประกวดราคาจ้างเหมาบำรุงรักษาโปรแกรมบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ สำหรับศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)

กรมลดโลกร้อน ได้รับรางวัล Prime Minister Award 2025: Innovation for Sustainability

         เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเข้ารับรางวัล Prime Minister Award ประเภท Innovation for Sustainability เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้แก่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในฐานะองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นด้านการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศเน้นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวคาร์บอนต่ำและการพัฒนาความรู้เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) จัดพิธีมอบรางวัล Prime Minister Award 2025 เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการสตาร์ตอัปผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมระดับโลก โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีและประธานในพิธี ณ ห้อง SIAM Hall โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมปาฐกถาพิเศษ (Keynote Speech) ในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย: Global Challenges, Local Solutions at Scale”

          เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ดร. ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายให้ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (อสส.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ (Keynote Speech) ในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย : Global Challenges, Local Solutions at Scale” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นของผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงชุมชนท้องถิ่น อาทิ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ธนาคารกสิกรไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ผู้แทนภาคเอกชน และตัวแทนชุมชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทางสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตที่โลกและประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ในการนี้ อสส. ได้เน้นย้ำถึงข้อห่วงกังวลเร่งด่วนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะประเด็นการปรับตัวและการจัดการความเสี่ยงในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับพื้นที่ อันเป็นผลจากภาวะอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทั้งได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ รวมถึงการสนับสนุนทางการเมืองที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ตลอดจนความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ประชาสังคม และเอกชน เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยยกการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งมีความโดดเด่นในการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่เน้นให้ประชาชนเข้าถึงและพัฒนาระบบพื้นฐานการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการป่าไม้ น้ำ และดิน ควบคู่ไปกับการประเมินความเสี่ยงและการสร้างโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการจัดการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน เพื่อช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          นอกจากนี้ อสส. ยังได้กล่าวถึงเป้าหมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ Net Zero Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050 พร้อมทั้งย้ำว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังคงเดินหน้าผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาระสำคัญในการจัดตั้งตลาดคาร์บอน และกองทุนภูมิอากาศ เพื่อเชื่อมโยงการดำเนินงานของตลาดคาร์บอนทั้งในภาคสมัครใจและภาคบังคับ โดยคาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในช่วงปี พ.ศ. 2569–2570
          ในการนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังได้นำเสนอความสำเร็จจากการใช้ Nature-Based Solutions เพื่อฟื้นฟูป่าชุมชนกว่า 250,000 ไร่ สร้างประโยชน์แก่ประชาชนกว่า 130,000 คน และสร้างรายได้เข้ากองทุนชุมชนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อให้เกิดการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคม ส่งผลให้งาน MFLF Sustainability Forum 2025 สามารถสะท้อนพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และสร้างอนาคตร่วมกันอย่างแท้จริง
          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ทส. รวมพลังภาคีเครือข่าย เตรียมจัดประชุม TCAC 2025 เร่งยกระดับ ขับเคลื่อนนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศสู่การปฏิบัติจริง

          วันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย แถลงข่าวการจัดประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด (Inspiring Climate Solutions for All)” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประธานแถลงข่าว ร่วมกับ ดร.นภัส พันธ์พงษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทซัสเทนอะบิลิตี้ เอ็กซ์โป จำกัด ดร.บุญทวี บุญให้ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตเทศบาลบ้านหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และคุณกานต์รวี ศรีแสงทรัพย์ แกนนำเยาวชน โครงการ Local Conference of Youth (LCOY) Thailand ณ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพฯ
          ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน การรับมือกับปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อร่วมกันนำวิสัยทัศน์และนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลอย่างแท้จริง สำหรับประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้วางแนวทางการดำเนินงานเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทั้งการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมสีเขียว การสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนการเสริมศักยภาพการปรับตัวของชุมชนและระบบนิเวศ รวมถึงการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน”
“ภายใต้แนวทางดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จึงได้การจัดประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการรวมพลังขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ได้กำหนดไว้ การประชุมครั้งนี้ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือจากระดับนโยบายสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่ายนำเสนอผลสำเร็จ แนวปฏิบัติที่ดี และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การนำเสนอในเวทีนานาชาติ อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกัน ตลอดจนเพิ่มพลังความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยอย่างมีประสิทธิผล”
         Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 การประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด (Inspiring Climate Solutions for All)” ที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการสร้างแรงบันดาลใจ และเปิดเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งเปลี่ยนวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้เป็นโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่
🔹 การเสวนา/บรรยายระดับนโยบาย วิชาการ เวทีเฉพาะด้าน อาทิ พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประชุม COP30 การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้านภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านเทคโลยีสู่สังคมที่ยั่งยืน Climate Finance การจัดการความเสี่ยงด้านภูมิอากาศในเมือง แนวทางการปรับตัวต่อภัยพิบัติ การสร้างความรู้ความเข้าและการเตรียมความพร้อมสู่สังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงเวทีที่ให้เยาวชนมาแสดงพลังในการแก้ปัญหาโลกเดือด
🔹 การนำเสนอวิสัยทัศน์จากผู้นำระดับนานาชาติ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และเยาวชน โดยในวันพิธีเปิดงาน วันที่ 29 กันยายน 2568 ได้รับเกียรติจากท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดประชุม และปาฐกถาพิเศษ
🔹 การจัดแสดงนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด 7 C ภายในงาน SX Sustainability Expo (SX) นำเสนอการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ในการแก้ปัญหา การตั้งรับ การปรับตัว และสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนวัตกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งจัดมุม “Climate Clinic” มุมเพื่อการพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อแก้ปัญหาโลกเดือด รวมกว่า 10 หัวข้อ ตลอดระยะเวลา 10 วัน ตั้งแต่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568
          การประชุม TCAC 2025 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน จากทุกภาคส่วนหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ คณะทูต ตลอดจนภาคประชาชนและเยาวชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการรับรู้และความตระหนักรู้ของสาธารณชนต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนผลักดันความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรมสู่การพัฒนาระดับพื้นที่และระดับประเทศ รวมถึงการสร้างความร่วมมือใหม่ร่วมกับภาคี โดยส่งเสริมให้ภาคีสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของชุมชนในพื้นที่ เสริมพลังชุนชนให้มีความเข้มแข็งในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในรับมือจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับจุดเริ่มต้นของการขยายความร่วมมือลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่จริง ซึ่งการประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพและความก้าวหน้าของประเทศไทย ตลอดจนเชื่อมโยงพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อพลิกวิกฤตโลกร้อนให้เป็นโอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืน อันจะนำไปสู่อนาคตที่มั่นคงและปลอดภัยของประเทศและประชาคมโลก
         เตรียมพบกับงานประชุม TCAC 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ท่านที่สนใจเข้าร่วมการประชุมสามารถ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ Facebook Page TCAC และโอกาสนี้ขอเชิญทุกท่าน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือดไปด้วยกัน”
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”