กรมลดโลกร้อนจับมือ 9 ธนาคาร หนุนผู้ประกอบการ G-Green

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

🌳เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและคณะผู้บริหารจากสถาบันการเงินต่างๆ รวม 9 หน่วยงานได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Bank) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน และบริษัท บัตร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการสนับสนุนเชิงธุรกิจและการตลาดให้กับผู้ประกอบการ G-Green โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยาน ซึ่งจัดขึ้นภายในงานวันสิ่งแวดล้อมไทยและวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

🌳ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย คือ การสนับสนุนจากสถาบันการเงิน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างให้เกิด ☘️Green Demand☘️

🌳เพื่อให้ผู้บริโภคใส่ใจในสินค้าและบริการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมหรือผู้บริโภคสาย Green เป็นแรงหนุนให้เกิดการขยายฐานของธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

🌳การส่งเสริมสิทธิประโยชน์จากสถาบันการเงินให้กับผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคที่ใช้จ่ายสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงเป็นการเสริมพลัง G-Green เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับภาคธุรกิจและเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย

 

 

 

กรมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568 ด้วยแนวคิด “ธรรมชาติคืนชีวิต สู้วิกฤตภูมิอากาศ” รวมพลังความร่วมมือฟื้นฟูธรรมชาติ แก้ปัญหาวิฤตโลกร้อนอย่างยั่งยืน

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

          วันที่ 4 ธันวาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดงาน “วันสิ่งแวดล้อมไทย และวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2568” ภายใต้แนวคิด “When Nature Thrives, We All Survive: ธรรมชาติคืนชีวิต สู้วิกฤตภูมิอากาศ” สร้างความตระหนักรู้และรวมพลังความร่วมมือฟื้นฟูธรรมชาติ แก้ปัญหาวิฤตโลกร้อนอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และมีผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เยาวชนและเครือข่ายสถานศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร และรับชมผ่าน Facebook Live กรมการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมกว่า 3,500 คน
          ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นของวันสิ่งแวดล้อมไทยเมื่อปี 2534 ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงห่วงใย ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยและโลกที่รุนแรงขึ้น และถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้น้อมนำพระราชดำรัสมาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยมุ่งเน้นให้เครือข่ายภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ไปสู่ระดับโลก ประกอบกับวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และจากข้อมูล CRI 2026 โดย Germanwatch ระบุว่าในปี 2024 ที่ ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อยู่ในอันดับที่ 17 สะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดนโยบายรัฐบาลด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050
          ดร.ชญานันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรม ภายใต้แนวคิด “When Nature Thrives, We All Survive : ธรรมชาติคืนชีวิต สู้วิกฤตภูมิอากาศ” แสดงถึงการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน คือการพึ่งพาและฟื้นฟูธรรมชาติ โดยระบบนิเวศที่สมบูรณ์ จะทำหน้าที่เป็นคลังคาร์บอนธรรมชาติและเป็นเกราะป้องกันภัยพิบัติให้แก่ชุมชนและประเทศ การทำให้ธรรมชาติเจริญงอกงามเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมและเป็นหลักประกันในการอยู่รอด อีกทั้ง เน้นย้ำว่า การลงมือทำของเครือข่าย ทสม. ในพื้นที่ การปรับตัวของชุมชนและโรงเรียน คือส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในเวทีโลก รวมถึงความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ G-Green กับสถาบันการเงิน เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม และสุดท้าย “เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมไทย ขอให้เป็นแรงบันดาลใจในการลงมือทำ เพื่อร่วมกันคืนชีวิตให้ธรรมชาติ และสร้างหลักประกันที่เราทุกคนจะอยู่รอดบนแผ่นดินไทยที่มั่นคงและยั่งยืน”
          ด้าน ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมวันนี้ ประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “When Nature Thrives, We All Survive: ธรรมชาติคืนชีวิต สู้วิกฤตภูมิอากาศ” พิธีมอบถ้วยพระราชทาน และรางวัลเชิดชูเกียรติด้านสิ่งแวดล้อม พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการสนับสนุนเชิงธุรกิจและการตลาดให้กับผู้ประกอบการ G-Green และสถาบันการเงิน จำนวน 9 แห่ง พร้อมเปิดเวทีนำเสนอในหัวข้อ “รวมพลังเครือข่าย สู้วิกฤตภูมิอากาศ สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” การเสวนา “5 ประเด็นที่โลกจับตาใน COP 30 สู่การขับเคลื่อนในประเทศไทย” และนำเสนอสรุปผลการประชุม COP 30 “Belém Political Package” ประกอบด้วยผลลัพธ์ 16 ประเด็น อาทิ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมทั้งด้านลดก๊าซและปรับตัว กองทุนภูมิอากาศสีเขียว ตัวชี้วัด Global Goal on Adaptation (GGA) การลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้มุ่งเน้นสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จะนำไปสู่การบูรณาการสู่ระดับพื้นที่ โดยมีเครือข่าย ทสม. เป็นหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน สื่อสาร และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในวงกว้างและเกิดประสิทธิผลได้ในระยะยาว

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

รมลดโลกร้อน จัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2568

 

กรมลดโลกร้อน จับมือ สผ. และ GIZ หนุน Green Hotel รับมือสนับสนุนกองทุน ThaiCI

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดี กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมร่วมเป็นเกียรติในงานประชาสัมพันธ์การเปิดรับข้อเสนอโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากบริการของธุรกิจโรงแรมและที่พักของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภายใต้มาตรฐานโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) เมื่อเวลา 08.30 – 16.00 น. ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค เพื่อประชาสัมพันธ์การเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนภายใต้กองทุน ThaiCI และเสริมสร้างศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เข้าสู่มาตรฐานโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) พร้อมกันนี้ นางสาวเพชรดา อ้อชัยภูมิ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ร่วมเป็นวิทยากร เสวนาในประเด็น“โอกาสและความท้าทายสู่มาตรฐานโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

          วันที่ 3 ธันวาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมวัน ทสม. แห่งชาติ เปิดเวที “พลัง ทสม. ฟื้นธรรมชาติ สู่วิกฤตภูมิอากาศ” พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 รวม 160 รางวัล สร้างพลังขับเคลื่อน ต่อยอดการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พร้อมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ พร้อมด้วยนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน มีผู้ร่วมงานจากผู้แทน ทสจ. และเครือข่าย ทสม. 76 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานกว่า 400 คน ณ โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพมหานคร
          นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่โดยเฉพาะเหตุกาณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มในภาคเหนือ น้ำท่วมน้ำหลากในภาคกลาง และน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งภัยพิบัติเกิดขึ้นในหลายประเทศ ทำให้ทุกประเทศเร่งยกระดับความมุ่งมั่นเพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยได้แสดงจุดยืนในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP 30 ที่ประเทศบราซิล ภายใต้แนวคิด การรวมพลังของประชาคมโลก โดยเน้นการมองคนเป็นศูนย์กลาง สนับสนุนการขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และสร้างภูมิคุ้มกันในการปรับตัวการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และมุ่งเน้นการสร้างกระแสให้เกิดการดำเนินการจากระดับท้องถิ่นถึงระดับโลก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นระบบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นเชอบเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา และเมื่อมีผลบังคับใช้ ทสม. จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชน ที่จะเป็นผู้นำขับเคลื่อนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
          นางสาวปรีญาพร กล่าวต่อว่า ทสม. เป็นกลไกการสื่อสารและการปฏิบัติการ ที่จะทำให้เป้าหมายทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ชุมชน ทั้งด้านลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การส่งเสริมการคัดแยกและจัดการขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีในชุมชน การเป็นผู้นำสร้างพื้นที่ต้นแบบเพิ่มพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชุมชนเพื่อเพิ่มแหล่งดูดซับคาร์บอน ขณะที่ด้านการปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกัน ทสม. จะเป็นผู้เฝ้าระวังและอนุรักษ์ ปราการธรรมชาติให้ระบบนิเวศทำหน้าที่ลดความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนจากภัยพิบัติ ส่วนการเข้าถึงกลไกการเงิน ทสม. จะเป็นผู้สร้างโครงการต้นแบบที่มีศักยภาพ เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตในชุมชน เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากกลไกทางการเงินใหม่ อย่างเป็นรูปธรรมและเท่าทัน อีกทั้ง ทสม. ยังเป็นโซ่ข้อกลางระหว่างชุมชน และหน่วยงาน ในกบูรณาการการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ “พลังของเครือข่าย ทสม. จะเป็นกลไกการสื่อสารและการปฏิบัติในการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวในพื้นที่ เปลี่ยนวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้เป็นโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายของประเทศไทยตามพันธกรณีระดับโลก”
          ด้าน นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีเครือข่าย ทสม. มากกว่า 300,000 คน ทั่วประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้คัดเลือกต้นแบบการทำงานด้วยจิตอาสา ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ เพื่อเป็นแบบอย่างการทำงาน ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด 76 จังหวัด มาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน สำหรับในปี 2568 ดำเนินการคัดเลือก แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ มีการแบ่งผลงานการคัดเลือกออกเป็น 2 สาขา 7 ด้าน คือ สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 ด้าน คือ 1) ด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ และพื้นที่สีเขียว 2) ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ และ 3) ด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และสาขาการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 4 ด้านคือ 1) ด้านการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) ด้านการจัดการไฟป่า หมอกควัน และการเผาในที่โล่ง 3) ด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และ 4) ด้านการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างพลังขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. ให้เกิดความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถยกระดับ และพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ให้เป็นที่ประจักษ์ของสังคม

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน มอบ 160 รางวัล ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ประจำปี 2568 สนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโลกเดือด สร้างความเข้มแข็งในระดับพื้นที่

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty”

          เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty” ภายใต้งาน 2025
          The Annual Petroleum Outlook Forum จัดโดยกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่ม ปตท. โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา ธนาคารและสถาบันการเงิน และผู้ประกอบการ จำนวนรวมกว่า 400 คน ณ ห้องประชุม Synergy Hall ชั้น 6 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์
          ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช ได้ชี้ให้เห็นถึงทิศทางพลังงานและการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ประเด็นจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเล็ง สาธารณรัฐบราซิล โดยเฉพาะท่าทีที่แตกต่างของประเทศทั่วโลกเกี่ยวกับการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตพลังงานในอนาคต ความก้าวหน้าทางการเงินด้านการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศที่มีเป้าหมายทางการเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2035 และได้กล่าวถึง NDC 3.0 ของประเทศไทยที่มีการยกระดับเพื่อให้สอดคล้องกับการขยับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญโดยอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) นอกจากนี้ สส. อยู่ในระหว่างการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ที่ครอบคลุมทั้งด้านนโยบาย แผน มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกและกลไกทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยีสะอาด โดยเฉพาะภาคเอกชน ผ่านกองทุนภูมิอากาศ เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยืนหยัดได้ในระยะยาว

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Energy of Thailand: Sharping the New Landscape in an Uncertainty”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะทำงานพิจารณาและกลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทางการเงินในกรอบระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2/2568

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะทำงานพิจารณาและกลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทางการเงินในกรอบระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2/2568

          เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพิจารณาและกลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทางการเงินในกรอบระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้อำนวยการกลุ่มการเงินและการลงทุนด้านภูมิอากาศ ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
          ประธานได้แจ้งที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าความร่วมมือด้าน Carbon Pricing Instrument ระหว่างไทย – สิงคโปร์ และ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ … ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในลำดับต่อไป รวมถึงแจ้งกำหนดการเปิดรับข้อเสนอโครงการระหว่างเดือนธันวาคม 2568 – มิถุนายน 2569 สำหรับกองทุนสำหรับความสูญเสียและความเสียหาย (Fund for responding to Loss and Damage: FRLD)
          ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการพิจารณาโครงการ Mandala Capital SSEA Food Fund LP ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารกองทุน GCF แล้ว เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 รวมทั้งเห็นชอบการออก No-objection Letter: NOL จำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็น
          1. ข้อเสนอโครงการ (Funding Proposal) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการ Navis Decarbonization Fund I (2) โครงการ Growth Markets Fund II โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการเสนอขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการบูรณาการนโยบายและแผน เพื่อขอความเห็นชอบในการออก NOL ตามขั้นตอนต่อไป
          2. ข้อเสนอในการขอทุนเพื่อพัฒนาข้อเสนอโครงการฉบับสมบูรณ์ (PPF) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ Sarona Climate Action Incubator (SCAI) โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการเสนอออก NOL ต่อไป

          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”