กรมลดโลกร้อน ร่วมกับ กองประกวดนางสาวไทย สร้างแนวทางความร่วมมือ แต่งตั้ง Miss Climate Change 2025

               เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ กองประกวดนางสาวไทย จัดงานแถลงข่าวการจัดการประกวดนางสาวไทยประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Melody of Siam” ณ ห้องศรีราชาแกรนด์ บอลรูม โรงแรมโอ๊ควู้ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยมี นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมให้ข้อมูลในงานแถลงข่าวดังกล่าว
ที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการสื่อสารสร้างความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือ อินฟลูเอนเซอร์ในหลายวงการ ทั้งดารานักแสดง และ Youtuber พร้อมทั้งหาเครือข่ายใหม่ ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งเวทีนางสาวไทย เป็นเวทีที่ทรงเกียรติและทรงคุณค่า ที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้มอบหมายให้ น้องขวัญ นางสาว ชรัญญา เพชรสุวรรณนาคะ นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 เป็น “Miss Climate Change” โดยจะมาช่วยเป็นกระบอกเสียงและขับเคลื่อนกิจกรรมในการสร้างการรับรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่ความร่วมมือของทุกภาคส่วน เกิดกระแสสังคมในวงกว้างต่อไป
               สำหรับการประกวดในครั้งนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 25 พฤษภาคม 2568 กรมลดโลกร้อนได้หารือและวางแนวทางกับกองประกวดนางสาวไทย เพื่อแต่งตั้งเป็น Climate Change Ambassador และ Miss Climate Change 2025 โดยแต่งตั้งนางสาวไทยประจำจังหวัด ประจำปี 2568 เป็น “Climate Change Ambassador” รวมกว่า 45 จังหวัด พร้อมทั้งคัดเลือกและแต่งตั้ง Miss Climate Change 2025 โดยคัดเลือกจากนางสาวไทยประจำจังหวัด จำนวน 3 ท่าน และนางสาวไทยประจำปี 2568 จำนวน 1 ท่าน รวมทั้งนางสาวไทยพิษณุโลก 2568 ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว จำนวน 1 ท่าน รวม Miss Climate Change 2025 ทั้งสิ้น 5 ท่าน เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ์เป็นศูนย์ หรือ Net Zero รวมถึงมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

    

บทเรียนแผ่นดินไหว เขย่าระบบเตือนภัยไทย

               เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาครั้งรุนแรงเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก ทำให้ทุกฝ่ายเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติว่า เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คาดคิด และจากเหตุการณ์นี้ประเทศไทยได้ตกอยู่ในความไม่ปลอดภัยจากแรงสั่นสะเทือนใต้ดินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งต้องเตรียมการรับมืออย่างเป็นระบบ
               แผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 8.2 ในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.20 น. ตามเวลาประเทศไทย (1) มีศูนย์กลางอยู่ใกล้เมืองมันดาเลย์ ห่างจากเมืองสะกายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 16 กิโลเมตร ด้วยระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์นี้รับรู้ได้เป็นวงกว้าง ครอบคลุมหลายพื้นที่ของไทยทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า จุดศูนย์กลางเกิดอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1,100 กิโลเมตร (2)
               แผ่นดินไหวในครั้งนี้เกิดจาก “รอยเลื่อนสะกาย” (Sagaing Fault) หนึ่งในรอยเลื่อนที่ทรงพลังและอันตรายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทอดตัวยาวกว่า 1,200 กิโลเมตร ผ่ากลางเมียนมาและพาดผ่านเมืองสำคัญอย่างมัณฑะเลย์ เนปิดอว์ และย่างกุ้ง รอยเลื่อนนี้เคยก่อให้เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง เช่น ในปี 2455 ขนาด 8.0 ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ส่งผลให้เจดีย์สำคัญพังทลาย และแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงภาคเหนือและกรุงเทพมหานครของไทย ต่อมาในปี 2473 ก็เกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนเดียวกันนี้ขนาด 7.3 ที่เมืองพะโค ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 คน (2) นักธรณีวิทยาเตือนว่าแม้จะดูเงียบสงบในบางช่วง แต่รอยเลื่อนนี้กำลังสะสมพลังงาน และอาจปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง (3)
               หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 – 8.0 บริเวณรอยเลื่อนสะกายจะเกิดผลกระทบลามถึงไทย โดยเฉพาะภาคเหนือที่อาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนในระดับ 4 – 5 ทำให้หน้าต่างสั่น ผนังมีเสียงลั่น หรือของตกหล่นจากชั้นวาง ในบางกรณี แรงสั่นสะเทือนอาจรับรู้ได้ถึงภาคกลางและกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนว่า แม้ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนหลักก็อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้านได้ทุกเมื่อ (3)
               รอยเลื่อนสะกายมีโอกาสสูงถึง 90 – 100% ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.0 (มาตราโมเมนต์ : Moment magnitude) ภายใน 50 ปี และยังมีความเป็นไปได้ 60 – 70% ที่แผ่นดินไหวขนาด 7.0 จะเกิดขึ้นในช่วงเมืองมิตจีนาถึงตอนเหนือของมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นจุดที่มีพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุด ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ตามแนวรอยเลื่อนนี้มีโอกาสต่ำกว่า 50% (4)
               หากพิจารณาในระดับเมือง เมืองมิตจีนาและเนปิดอว์มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยมีโอกาส 40 – 60% ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ในอีก 50 – 100 ปี ขณะที่มัณฑะเลย์และย่างกุ้ง แม้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีประชากรหนาแน่น แต่กลับมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ต่ำกว่า 10% ภายใน 100 ปี อย่างไรก็ตาม การสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวบริเวณรอยเลื่อนสะกายอาจส่งแรงกระเพื่อมไปยังพื้นที่อื่นรวมถึงประเทศไทย ซึ่งจำเป็นต้องเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น (4)
               แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่บนแนวขอบแผ่นเปลือกโลก แต่ยังคงมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนมีพลังที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีแนวรอยเลื่อนสำคัญ เช่น รอยเลื่อนแม่จัน, แม่อิง, แม่ฮ่องสอน, เมย, แม่ทา, เถิน, พะเยา, ปัว, อุตรดิตถ์, เจดีย์สามองค์, ศรีสวัสดิ์, ระนอง, คลองมะรุ่ย, เพชรบูรณ์, แม่ลาว และเวียงแห รอยเลื่อนเหล่านี้สามารถปลดปล่อยพลังงานและก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้หากมีการสะสมพลังงานเพียงพอ (5)
               ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 6.3 ที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 นอกจากนี้ ยังเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ตามแนวรอยเลื่อนอื่น ๆ เช่น แผ่นดินไหว ขนาด 6.5 ที่จังหวัดน่าน ในปี 2478 และ ขนาด 5.3, 5.9, 5.2 (3 ครั้ง) ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ในปี 2526 แม้โอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในไทยจะไม่สูงเท่ากับประเทศที่อยู่ในแนว Ring of Fire แต่แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาและลาว อาจส่งผลกระทบถึงไทยได้ ดังเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 6.8 ในเมียนมา เมื่อปี 2554 และครั้งล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น (5)
               แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานในเปลือกโลก อันเป็นผลจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกตามแนวรอยเลื่อน หรือแรงกระทำจากปัจจัยอื่น เช่น การระเบิดของภูเขาไฟ หรือการยุบตัวของโพรงใต้ดิน แม้ว่าแผ่นดินไหวจะไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ แต่การศึกษาการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนและลักษณะทางธรณีวิทยาสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกันล่วงหน้าได้ (6)
               การเตรียมความพร้อมรับมือแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ประชาชนควรจัดบ้านเรือนให้ปลอดภัย โดยหลีกเลี่ยงการวางสิ่งของหนักบนที่สูง ติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้มั่นคง และจัดเตรียมแผนฉุกเฉินสำหรับการอพยพ ในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่ในอาคาร ควรหาที่หลบที่แข็งแรง เช่น ใต้โต๊ะที่มั่นคง หรืออยู่ใกล้เสาอาคารที่แข็งแรง พร้อมหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีกระจกหรือของตกแต่งแขวนอยู่เพื่อป้องกันอันตรายจากการหล่นทับ (6)
               หากอยู่ภายนอกขณะเกิดแผ่นดินไหวควรหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้เสาไฟฟ้า หรืออาคารสูงที่อาจถล่มได้ หากอยู่ในยานพาหนะควรหยุดรถในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงสะพานหรืออุโมงค์ที่อาจได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือน สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชายฝั่งควรเฝ้าระวังความเสี่ยงจากคลื่นสึนามิที่อาจเกิดขึ้นตามมา และติดตามประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด (6)
               แผ่นดินไหวในเมียนมาครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะรอยเลื่อนสะกายที่ยังคงเป็นภัยเงียบและต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็มีจุดเสี่ยงหลายแห่ง การเตรียมพร้อมของภาครัฐและประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับภาคเอกชนที่สามารถเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติให้ดีขึ้น (7)
               ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เช่น สตาร์ทอัปจากญี่ปุ่นที่พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ฟุตเทจจากกล้องถนน ข้อมูลสภาพอากาศ และการจราจรแบบเรียลไทม์ ระบบสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันภายใน 1 นาที ช่วยให้การติดตามภัยพิบัติแม่นยำและรวดเร็ว ปัจจุบันมีหน่วยงานท้องถิ่นและบริษัทกว่า 1,100 แห่งใช้งาน และมีแผนขยายสู่ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เทคโนโลยีลักษณะนี้เป็นแนวทางที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ เพื่อยกระดับระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ และเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (7)

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) BBC News ไทย, แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จากเมียนมา ทำตึกสูงย่านจตุจักรถล่ม พบผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ราย และสูญหายอีก 85 ราย
(2) Facebook : National Geographic Thailand, “รอยเลื่อนสะกาย” Sagaing Fault ยักษ์หลับกลางเมืองพม่า
(3) Facebook : SpringNews, “รอยเลื่อนสะกาย” ยักษ์หลับกลางเมืองพม่า ต้นตอแผ่นดินไหววันนี้ ขนาด 7.7
(4) mitrearth : มิตรเอิร์ธ, นิสัยการเกิดแผ่นดินไหวของรอยเลื่อนสะกาย ประเทศพม่า
(5) ThaiPBS : The ACTIVE, ย้อนรอย ‘แผ่นดินไหวใหญ่’ ในไทย ตรงไหนยังเสี่ยง!
(6) กรมอุตุนิยมวิทยา, แผ่นดินไหว (Earthquake)
(7) Facebook : capitalread.co, จากบทเรียนแผ่นดินไหวปี 2011 สู่ Spectee Pro บริการจัดการวิกฤตของญี่ปุ่นที่พัฒนา AI รายงานภัยพิบัติแบบเรียลไทม์

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนา “โลกเดือด แผ่นดินขยับ : อยู่กับความเสี่ยงอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน”

               วันนี้ (วันอังคารที่ 8 เมษายน 2568) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี จัดเสวนาในหัวข้อ “โลกเดือด แผ่นดินขยับ : อยู่กับความเสี่ยงอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ เข้าร่วม
               การเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วย การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อยู่กับความเสี่ยงอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเสวนา ในหัวข้อ “โลกเดือด แผ่นดินขยับ : อยู่กับความเสี่ยงภัยอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และเชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ประกอบด้วย นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายนัฐวุฒิ แดนดี รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ฝ่ายวิชาการ นายสุวภาคย์ อิ่มสมุทร รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมและฐานราก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายสุวิทย์ โคสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธรณีวิทยาแผ่นดินไหว ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการองค์ความรู้และบทบาทการบริหารจัดการด้านธรณีพิบัติภัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นเวทีของการสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนเกิดความเข้าใจอันจะนำไปสู่การลดความหวั่นวิตกและสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน และพัฒนาขีดความสามารถของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อม รับมือกับธรณีพิบัติภัย และการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้หลักการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จับมือ GISTDA และ 4 หน่วยงานภาคการเกษตร ใช้ข้อมูลดาวเทียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

               วันที่ 3 เมษายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ข้อมูลดาวเทียมในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร โดยได้รับเกียรติจาก นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นพยานในพิธี พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมเสวนา หัวข้อ กลยุทธ์ปรับตัวสู่อนาคต : แผนรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคการเกษตรไทย ณ ห้องพระพรหม ชั้น 3 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
               ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ ในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาชุดข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมที่มีความละเอียดสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนหลักในการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ตลอดจนกลไก มาตรการที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ ที่สอดคล้องกับความต้องการในภาคเกษตร ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมาย ไปสู่การปฏิบัติ และเสริมสร้างการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นให้กับเกษตรกรให้พร้อมกับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
               ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีอวกาศมาสนับสนุนการพยากรณ์ความเสี่ยงและผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการบริหารจัดการภาคเกษตรและทรัพยากรน้ำอย่างแม่นยำ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคเกษตรกรรม การจัดการทรัพยากรน้ำ และการวางแผนนโยบายเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยเน้นการใช้ข้อมูลดาวเทียมเพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายเชิงรุก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติในระยะยาว เช่น การติดตามแนวโน้มภัยแล้งและน้ำท่วม เพื่อปรับแผนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยจะเป็นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียมสำหรับการสนับสนุนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในด้านการแก้ปัญหาเชิงรุกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งหน่วยงานพันธมิตรในครั้งนี้ จะร่วมกันผลักดันการใช้เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภาคเกษตรและทรัพยากรน้ำของประเทศไทยให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาวและลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของภาคการเกษตร

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมงานวันน้ำบาดาลแห่งชาติ 3 เมษายน 2568 “สืบสานพระราชปณิธาน บูรณาการน้ำบาดาลเพื่อความยั่งยืน”

               วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2568) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมงานวันน้ำบาดาลแห่งชาติ (National Groundwater Day) ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้แนวคิด “สืบสานพระราชปณิธาน บูรณาการน้ำบาดาลเพื่อความยั่งยืน” พร้อมการจัดสัมมนาเสริมองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำบาดาล และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่เครือข่ายน้ำบาดาลดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2568 ระหว่างวันที่ 2 – 3 เมษายน 2568 โดยได้รับเกียรติจาก ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
               การจัดงานวันน้ำบาดาลแห่งชาติ ประจำปี 2568 นี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 โดยมีจุดม่งหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ของน้ำบาดาล และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ให้น้ำบาดาลอยู่คู่กับคนไทยตลอดไป และเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ดำเนิน “โครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่อความมั่นคงระดับชุมชน” และ “โครงการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลระยะไกล เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ขาดแคลนน้ำหรือน้ำเค็ม โดยมีเป้าหมายทั้งสิ้น 72 แห่ง ทั่วประเทศ ครอบคลุม 59 จังหวัด ภายในงานยังได้จัดกิจกรรมการบรรยาย หรือการเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเครือข่ายน้ำบาดาล นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบรางวัลเครือข่ายน้ำบาดาลดีเด่น ประจำปี 2568 จำนวน 4 ประเภท รวมทั้งสิ้น 58 รางวัล และยังมีการจัดนิทรรศการของภาคีเครือข่ายเพื่อนำเสนอผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากน้ำบาดาลด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรณรงค์ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้น้อมรำลึก และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำบาดาล และร่วมกัน สืบสานพระราชปณิธานในการร่วมกันดูแล รักษา ปกป้องทรัพยากรน้ำบาดาลให้เกิดความยั่งยืนตลอดไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

3 เมษายน วันน้ำบาดาลแห่งชาติ (National Groundwater Day) “สืบสานพระราชปณิธาน บูรณาการน้ำบาดาลอย่างยั่งยืน”

3 เมษายน วันน้ำบาดาลแห่งชาติ (National Groundwater Day) “สืบสานพระราชปณิธาน บูรณาการน้ำบาดาลอย่างยั่งยืน”
               ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อรูปแบบของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิ รวมทั้งปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยด้วย ดังนั้นทรัพยากรน้ำบาดาล จึงเป็นทรัพยากรหนึ่งที่มีความสำคัญ และมีความจำเป็น ที่ควรต้องอนุรักษ์และรักษาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เนื่องจากเป็นน้ำที่คนไทยทั้งประเทศได้ใช้ประโยชน์ทั้งการอุปโภคบริโภค และใช้แก้ปัญหาภัยแล้งได้ นอกจากนี้ยังเป็นน้ำต้นทุนสำหรับภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรและประโยชน์ด้านต่างๆ
               เนื่องในวันน้ำบาดาลแห่งชาตินี้ กรมลดโลกร้อน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันใช้น้ำบาดาลอย่างรู้คุณค่าควบคู่ไปกับการอนุรักษ์น้ำเพื่อที่จะทำให้น้ำบาดาลอยู่คู่กับคนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการบูรณาการนโยบายและแผน ครั้งที่ 1/2568

               เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการบูรณาการนโยบายและแผน ครั้งที่ 1/2568 โดย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานอนุกรรมการมอบหมายให้ นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่แทน และมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานอนุกรรมการคนที่ 1 นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นรองประธานอนุกรรมการคนที่ 2 นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมฯ ทำหน้าที่อนุกรรมการและเลขานุการ ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คณะอนุกรรมการฯ รับทราบต่อแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พ.ศ. 2564 – 2573 และความคืบหน้าการจัดทำนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมถึงเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะทำงานบูรณาการนโยบายและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เห็นชอบหลักการต่อร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาและกลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทางการเงินในกรอบระหว่างประเทศ เพื่อมอบหมายกรมลดโลกร้อนจัดทำคำสั่งเสนอประธานอนุกรรมการฯ ลงนามต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบในหลักการโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอนของประเทศไทย (Low Carbon Cities & Carbon Market Development) เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเสนอต่อ ครม. หากเห็นมีมติชอบ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

“We can run: Fund for legs” ปี 2 ขยับขาเพื่อ 100 ขาเทียม ตั้งเป้ารวบรวมกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้ว 4.8 ล้านใบ ลดก๊าซเรือนกระจก 570 ตัน

               วันที่ 30 มีนาคม 2568 ณ บริเวณลานกลางท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดกิจกรรม เดิน-วิ่ง มินิมาราธอน “we can run: Fund for legs” ปีที่ 2 ภายใต้โครงการ Recycle for Life เพื่อมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ และภาคีเครือข่าย ร่วมเปิดกิจกรรม และพิธีมอบการสนับสนุนขาเทียม 100 ขา ให้แก่ คุณกุลิศ สมบัติศิริ กรรมการมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้พิการ พร้อมตั้งเป้ารวบรวมกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล 4,800,000 ใบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 570 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
               นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บูรณาการการดำเนินงานหน่วยงานให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกิจกรรม “we can run: Fund for legs” เพื่อมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครั้งนี้ เป็นปีที่ 2 ยังคงเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมสนับสนุนการผลิตขาเทียมแด่ผู้พิการให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยตั้งเป้าหมายสนับสนุนการผลิตขาเทียม 100 ขา คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,500,000 บาท และรวบรวมกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล 4,800,000 ใบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 570 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (โดยเทียบการรีไซเคิลกระป๋องกับการขุดแร่ใหม่) ซึ่งจะมีการรวบรวมกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล จากจุดรับคืนกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 192 สาขาทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ Recycle for Life เปลี่ยนขยะเป็นบุญ เพื่อมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รวมถึงจากนักวิ่งที่นำกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้ว 5 ใบ มาแลกรับเสื้อและบิบ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนแลสุขภาพพร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
               นายจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมครั้งนี้เกิดจากพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร มูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (มูลนิธิ 3R) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจ TCP บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด ช่อง 7HD ในโครงการ 7 สีปันรักษ์ให้โลก โดยถือเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของผู้ผลิตในการสร้างสังคมรีไซเคิล ซึ่งครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักวิ่งสายบุญ รวมกว่า 4,800 คน อีกทั้งยังมี “คุณขวัญ ชรัญญา” Miss Climate Change รวมถึงดารานักแสดง อย่าง “คุณเบเบ้ ธันย์ชนก ฤทธินาคา” นักแสดงและผู้ประกาศข่าวช่อง 7HD ในโครงการ 7 สีปันรักให้โลก อาทิ “คุณหลุยส์ เฮส” “คุณจาด้า อินโตร์เร” “คุณศรสวรรค์ ภู่วิจิตร” และ “คุณศจี วงศ์อำไพ” เข้าร่วมกิจกรรม และที่สำคัญการจัดงานในวันนี้ เป็นการจัดงานแบบปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral Event) โดยมีการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 87.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ทำให้มีก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์
               “ขอขอบคุณมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนการจัดกิจกรรม รวมถึงนักวิ่งทุกท่าน ที่ร่วมกันส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้พิการ พร้อมสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065” นายจตุพร กล่าว

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน มอบใบประกาศผู้สนับสนุนกิจกรรม “we can run : Fund for legs” ปีที่ 2

               วันที่ 29 มีนาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มอบใบประกาศให้กับผู้สนับสนุนกิจกรรม ได้แก่ มูลนิธขาเทียม และภาคีเครือข่าย รวมจำนวน 30 หน่วยงาน ภายใต้กิจกรรม เดิน-วิ่ง มินิมาราธอน “we can run : Fund for legs” ปีที่ 2 โครงการ Recycle for Life เพื่อมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (30 มีนาคม 2568) ณ บริเวณลานกลางท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
               การจัดงานในวันนี้มีบูธกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งการแลกรับเสื้อและ BIB การร่วมบริจาคกระป๋องอลูมิเนียม รวมถึงบูธกิจกรรมของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยประกอบไปด้วยกิจกรรมการให้ความรู้การรักษ์โลกในชีวิตประจำวัน ร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะพลาสติก เกมการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง แผนภูมิดัชนีความร้อน (heat index chart) และบูธกิจกรรมของหน่วยงานต่างๆ รวมกว่า 30 หน่วยงาน ซึ่งมีผู้มาร่วมกิจกรรมและเอากระป๋องมารับเสื้อและบิบ เป็นจำนวนกว่า 2,700 คน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่าย 17 จังหวัด ภายใต้โครงการ “กล่องยูเอชที รีไซเคิลได้”

               วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2567) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประธานมอบโล่เกียรติยศและเกียรติบัตรในพิธีเชิดชูเกียรติ โครงการ “กล่องยูเอชที รีไซเคิลได้” พร้อมด้วยนายปฏิญญา ศิลสุภดล ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด นายวัชรพงศ์ อึงศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการเขตประเทศไทย ลาว พม่าและกัมพูชา บริษัท เอสไอจี คอมบิบล็อก จำกัด โดยมีภาคีเครือข่าย 17 จังหวัด เข้ารับรางวัล ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรมฯ ได้ร่วมรณรงค์ในโครงการ “กล่องยูเอชที รีไซเคิลได้” ตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการจัดการกล่องยูเอชทีภายหลังจากการบริโภคอย่างถูกวิธี เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการจัดการขยะที่ไม่เหมาะสม
               ปัจจุบันโครงการฯ รวบรวมกล่องยูเอชทีกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้กว่า 2,947 ตัน หรือ 294 ล้านกล่อง สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 12,539.96 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้โครงการฯ สามารถต่อยอดถึงภาคประชาสังคม โดยการนำเยื่อกระดาษที่ได้จากการรีไซเคิลกล่องยูเอชทีที่รวบรวมได้ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ มาผลิตเป็นกระดาษรีไซเคิลคุณภาพดี เพื่อมอบเป็นอุปกรณ์การศึกษาแก่นักเรียนผู้มีความบกพร่องทางสายตา จาก 16 โรงเรียนสอนคนตาบอดทั่วประเทศ นับเป็นการส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ภายในงานมีภาคีเครือข่าย ครู นักเรียน เข้าร่วมจากทั่วประเทศกว่า 150 คน รวม 54 รางวัล

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”