กรมลดโลกร้อน เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ “NDC 3.0” ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตัน ภายในปี 2578

               วันที่ 27 มีนาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมนำเสนอผลการศึกษา เป้าหมาย แนวทาง และมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายใต้ NDC 3.0 พร้อมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ฉบับที่ 2 หรือ “NDC 3.0” โดยจะยกระดับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกประเทศไทยให้ได้ 109.2 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี พ.ศ. 2578 เพื่อรักษาอุณภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุม และมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานในระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุม ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท และผ่านระบบออนไลน์ รวมกว่า 250 คน
               ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยจะเดินหน้ายกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ NDC 3.0 ซึ่งมีกำหนดเสนอต่อสำนักเลขาธิการของ UNFCCC ภายในเดือนกันยายน 2568 ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 โดย NDC 3.0 จะเปลี่ยนรูปแบบการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ที่เปรียบเทียบกับกรณีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปกติ ที่ไม่มีการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก (Business as Usual: BAU) ไปเป็นการเปรียบเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง ณ ปี ค.ศ. 2019 หรือ Absolute Emissions Reduction Target ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ (Economy-Wide) พร้อมตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ภายในปี ค.ศ. 2035 ซึ่งรวมการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน (LULUCF) ที่คาดว่าจะสามารถดูดกลับได้ ไม่น้อยกว่า 118 MtCO₂e จะทำให้ประเทศไทย ลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินการเองในประเทศ (Unconditional Target) ได้ 76.4 MtCO₂e และจากการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Conditional Target) อีก 32.8 MtCO₂e ซึ่งหากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง ร้อยละ 60 จากปีฐาน ค.ศ. 2019 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสู่เส้นทางการจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
               ดร.พิรุณ กล่าวต่อว่า มาตรการสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 60 นั้น มาจากการขยายผลการลดก๊าซเรือนกระจกจากแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 ซึ่งจะเป็นการดำเนินการเองได้ในภายในประเทศ และการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศในเทคโนโลยีที่มีการลงทุนสูง ได้แก่ เทคโนโลยีไฮโดรเจนในภาคการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม Battery Energy storage System (BESS) เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMR) การผลิตปูนซีเมนต์แบบปล่อยคาร์บอนต่ำ เทคโนโลยีการกำจัดของเสียและสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปลูกข้าวแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ การปรับปรุงพันธุ์และอาหารสัตว์ เป็นต้น

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน มอบรางวัล “233 G-Green” พัฒนาต้นแบบผู้ประกอบการไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำ

               วันที่ 26 มีนาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) จัดพิธีมอบรางวัลตราสัญลักษณ์ G – Green ระดับประเทศ เชิดชูเกียรติ สถานประกอบการและหน่วยงาน ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินรับรองความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปี 2567 ภายใต้ตราสัญลักษณ์ G – Green จำนวน 233 แห่ง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
               นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในปี 2567 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดตัว Green Hotel Plus ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน Green Hotel ที่ Global Sustainable Tourism Council ให้การยอมรับ เทียบเท่าเกณฑ์ของ GSTC ระดับสากล เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นและโอกาสทางธุรกิจให้กับประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการ อีกทั้ง ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืนจังหวัดภูเก็ต และภาคีเครือข่าย ดำเนินโครงการ Green Hotel Plus Phuket Sandbox ส่งเสริมโรงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ตกว่า 600 แห่ง ให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน Green Hotel Plus เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก หรือ GSTC 2026 ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า (วันที่ 31 มีนาคม – 4 เมษายน 2569) ณ จังหวัดภูเก็ต
               นายจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการขับเคลื่อนเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ การบรรลุเป้าหมายของประเทศ ไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยภาคีเครือข่ายทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่พร้อมรับปรับตัวและปรับเปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน
               “รางวัลตราสัญลักษณ์ G-Green ในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกล และความเป็นผู้นำองค์กรที่โดดเด่น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มีความตระหนักถึงสถานการณ์โลก และรับผิดชอบต่อสังคม ขอให้รักษามาตรฐานและร่วมเป็นภาคีขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ ร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ให้กับอนุชนรุ่นหลังต่อไป” นายจตุพร กล่าว
               ด้าน ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรมลดโลกร้อน ได้ดำเนินการส่งเสริมการผลิตการบริการ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (G Green) ประกอบด้วย “Green Production” การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “Green Hotel” โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “Green National Park” อุทยานแห่งชาติสีเขียว “Green Office” สำนักงานสีเขียว “Green Restaurant” ร้านอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “Green Residence” ที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการขึ้นทะเบียนและรับรองผลิตภัณฑ์ในประเภท “ECO Plus” และ “UPCYCLE Circular Economy”
               โดยในวันนี้ มีสถานประกอบการและหน่วยงาน รับรางวัลตราสัญลักษณ์ G – Green ระดับประเทศ รวมจำนวน 233 แห่ง ประกอบด้วย “ระดับ G – Plus” จำนวน 13 แห่ง “ระดับดีเยี่ยม” จำนวน 96 แห่ง “ระดับดีมาก” จำนวน 86 แห่ง “ระดับดี” จำนวน 32 แห่ง “ผลิตภัณฑ์ G – Upcycle และผลิตภัณฑ์ ECO Plus” ที่ได้การรับรองความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 6 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงาน เครือข่าย G – Green ได้แก่ นิทรรศการส่งเสริมการผลิต การบริการ และการบริโภคที่ยั่งยืน นิทรรศการ Green Hotel Plus จากโรงแรมสุโขทัย นิทรรศการ Green Office จาก องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รวมถึงการนำเสนอตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Production เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี สร้างแรงบันดาลใจให้กับสถานประกอบการและองค์กรอื่น ๆ ในการริเริ่มพัฒนากิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

               วันที่ 25 มีนาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ มหาวิทยาลัย Monash และกรุงเทพมหานคร จัดการประชุมนานาชาติเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสภาพอากาศหลายประการ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งการประชุมนี้ เป็นการประชุมเกี่ยวกับแนวทางการนำธรรมชาติมาแก้ไขปัญหาในบริบทเมือง (Nature-based Solutions in Urban Contexts) ภายใต้โครงการ Resilient Urban Centres and Surrounds (RUCaS) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศและการค้าแห่งออสเตรเลีย (DFAT) และดำเนินการโดย Water Sensitive Cities Australia (WSCA) ภายใต้ สถาบันการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัย Monash (MSDI) และ ศูนย์การจัดการสิ่งแวดล้อมนานาชาติ (ICEM) โดยจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานครระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม และองค์กรพัฒนาเอกชนจากกัมพูชา ลาว ไทย เวียดนาม และออสเตรเลีย รวมกว่า 140 คน
               ศาสตราจารย์ John Thwaites AM ประธาน MSDI กล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับบทบาทของการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions: NbS) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions: NbS) เป็นแนวทางในการจัดการกับความท้าทายของสังคมโดยการปกป้อง จัดการอย่างยั่งยืน และฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติหรือระบบนิเวศที่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” (Green Infrastructure) เช่น การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อจัดการน้ำท่วมและมลพิษ หรือการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองเพื่อลดมลพิษทางอากาศ และลดผลกระทบจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง ตัวอย่างของแนวทางนี้สามารถพบเห็นได้ที่ สวนเบญจกิติ และ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกรุงเทพมหานคร
               นาย Ben Furmage ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WSCA ภายใต้ MSDI กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือและผลักดันให้เกิดชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง “ในการประชุมครั้งนี้ เราจะนำเสนอผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการบูรณาการธรรมชาติ วัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน” นาย Furmage กล่าว
               นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย กล่าวว่า มีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ NbS ในการบริหารจัดการน้ำในเมือง เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม ปรับปรุงคุณภาพน้ำ และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
               “การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีความหมายเกิดขึ้นจากการพัฒนาแนวทางแก้ไขร่วมกัน โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของชุมชน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายในทุกระดับของรัฐบาล” นายปวิชกล่าว
               ดร. Angela Macdonald เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับออสเตรเลียและประเทศในลุ่มน้ำโขงในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อช่วยพัฒนาชุมชนและภูมิภาคให้ดีขึ้น
               นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและหัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพฯ คุ้นเคยกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น พายุที่รุนแรงและถี่ขึ้น อุณหภูมิเมืองที่สูงขึ้น และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น
               “กลุ่มเปราะบางมักเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัญหาเหล่านี้ เมืองของเรากำลังใช้ NbS ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ความท้าทายต่อไปคือการขยายขนาดให้ครอบคลุมมากขึ้น” นายพรพรหมกล่าว
ผู้บรรยายหลักและผู้ร่วมอภิปรายในการประชุม ได้แก่
               – ดร. Angela Macdonald เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย
               – นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย
               – นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและหัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน
               – ฯพณฯ Pen Sophal รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการจัดการที่ดิน ผังเมือง และการก่อสร้าง ประเทศกัมพูชา
               – ศาสตราจารย์ John Thwaites ประธาน MSDI และอดีตรองนายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรีย
               – นาย Pin Prakad รองผู้ว่าราชการจังหวัดบัตตัมบัง ประเทศกัมพูชา
               – นาย Ben Furmage CEO, WSCA มหาวิทยาลัย Monash
               – ดร. Jeremy Carew-Reid ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการสิ่งแวดล้อมนานาชาติ (ICEM)
               – ผู้เชี่ยวชาญจาก UN, WWF, Stockholm Environment Institute, IUCN, World Bank, ADB, GRET, WaterAid, ADPC

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (BTR1) ฉบับประชาชน

สามารถดูรายละเอียดและดาวน์โหลดได้ที่ : ศูนย์ข้อมูลกลาง > รายงานระดับชาติ > รายงานความโปร่งใสรายสองปี (Thailand Biennial Transparency Report : BTR) 
หรือคลิกที่ลิงก์ : รายงานความโปร่งใสรายสองปี (Thailand Biennial Transparency Report : BTR)

กรมลดโลกร้อน เปิดเวทีปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ยกระดับมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Change Mitigation)

               เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และบริษัท แอดเวนเทจ คอนซัลติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ครั้งที่ 4 การลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Change Mitigation) ยกระดับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และทิศทางระดับโลก โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมหารือ ณ ห้องประชุม Platinum Hall ชั้น 3 โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพมหานคร
               การหารือในครั้งนี้ มีการนำเสนอข้อมูลการทบทวนเป้าหมาย นโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและในระดับสากล และแนวทางมาตรการ กลไกด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และแผนในระดับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมประชุม เกี่ยวกับการพัฒนา และปรับปรุงร่างมาตรการและกลไกด้านการลดก๊าซเรือนกระจก และการมีส่วนร่วมทางสังคม เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางการดำเนินงาน สร้างความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างยั่งยืน โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการจัดทำสรุป และยกร่างแผนแม่บทฯ ในภาพรวม และกำหนดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดกิจกรรมสร้างองค์ความรู้ “Carbon Free & Smog-Free” : ปลอดคาร์บอน ไร้หมอกควัน ลดโลกเดือด

               วันนี้ (วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมรณรงค์และเสริมสร้างองค์ความรู้ในการป้องกันการเผาในที่โล่ง ลดปัญหาหมอกควัน “Carbon Free & Smog-Free” : ปลอดคาร์บอน ไร้หมอกควัน ลดโลกเดือด โดยมี นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย การเสวนาในหัวข้อ “ปัญหาการเผาในที่โล่ง ไฟป่า และลดปัญหาหมอกและควัน” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายสุวิทย์ นิยมมาก ผอ.ส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.สุพรรณบุรี ผศ.ดร.ปฏิพัทธ์ วงค์เรือง อาจารย์สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา นางสวณีย์ โพธิ์รัง ผู้จัดการนาแปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จ.สุพรรณบุรี และนางปรียวัท ภู่เกษแก้ว ส่วนงานด้านความยั่งยืน และ สื่อสารองค์กร บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Workshop เกษตรลดการเผา ลดโลกเดือด โดย ดร.ณัฐวิญญ์ ชวเลิศพรศิยา ที่ปรึกษา สถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเพิ่มองค์ความรู้ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื่อมโยงไปสู่การส่งเสริมป้องกันการเผาในที่โล่ง ลดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ให้แก่เครือข่ายชุมชน โดยมีชุมชนศูนย์เรียนรู้ลดโลกร้อน นาแปลงใหญ่ เกษตรสมัยใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี เข้าร่วมกว่า 100 คน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเสวนาเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้แนวคิด “น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”

วันที่ 21 มีนาคม 2568 นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Climate Change Adaptation” เนื่องในงานวันน้ำโลก ปี 2568 ณ ห้องแคทลียา ชั้น 1 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร จัดโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” สอดรับกับประเด็น “Glacier Preservation” หรือ “การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนด ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน โดยในช่วงพิธีเปิดงานได้ฉายวิดีทัศน์การแถลงสารจากนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และร่วมปรับตัวต่อสถานการณ์น้ำของโลก
​               ในช่วงเสวนา หัวข้อ “Climate Change Adaptation” รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึง แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan: NAP) ในสาขาการจัดการทรัพยากรน้ำ การพัฒนาระบบการเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) ให้มีความแม่นยำและประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างหน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมรับฟังเสวนาจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เอกอัครราชทูต ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาชน จำนวนกว่า 300 คน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จับมือ สกสว. สอวช. ทปอ. กำหนดทิศทางงานวิจัย เพิ่มความสามารถสังคมไทย มีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตโลกเดือด

              เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานสภานโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ร่วมแถลงความร่วมมือภายใต้บันทึกความร่วมมือสนับสนุนการดำเนินงานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัย มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
               ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรมลดโลกร้อน มีหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านกลไกการสนับสนุนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดังนั้น ความร่วมมือจึงเป็นส่วนสำคัญ โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถ และสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ รวมถึงการนำผลงานวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ทั้งเชิงนโยบาย เชิงวิชาการ เชิงพาณิชย์ เชิงพื้นที่ อีกทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลนักวิจัย ฐานข้อมูลวิจัย และการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง โดยความร่วมมือครั้งนี้ ได้จัดทำกรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ เพื่อให้การวิจัย การพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศแบบคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประกอบด้วย (1) กรอบงานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกที่ยั่งยืน (2) กรอบงานวิจัยด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (3) กรอบงานวิจัยด้านงานวิจัยเชิงระบบ ตามความสำคัญ เร่งด่วน และสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ โดยได้วางเป้าหมายการดำเนินงานในประเด็นสำคัญและเร่งด่วนของการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ อาศัยกลไกความร่วมมือของเครือข่ายภาคีด้านดำเนินการวิจัย ทั้งหน่วยงานกำหนดนโยบายด้านการวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานจัดสรรทุนวิจัย และเครือข่ายการดำเนินงานวิจัย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยผลักดัน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป
               ศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ให้กับหน่วยงานวิจัย (ทุนสนับสนุนงานมูลฐาน) และหน่วยบริหารและจัดการทุน (ทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์) ในการส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและนักวิจัยทำการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และกำหนดท่าทีการเจรจาด้านการค้าการลงทุนและพันธกรณีระหว่างประเทศ การขับเคลื่อนนโยบายอย่างมีกลยุทธ์เพื่อการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทิศทางในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ผลจากการวิจัยและนวัตกรรม มาพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมและระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมเท่าเทียม เพิ่มความสามารถของสังคมไทยในการสร้างภูมิคุ้มกันและยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
               ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. มีภารกิจออกแบบและจัดทำข้อเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) รวมถึงการจัดทำข้อเสนอการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบ อววน. และร่วมขับเคลื่อนกับภาคีเครือข่ายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางพลวัตของโลก เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทยได้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เสริมสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรม และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติ โดยใช้บทบาทการเป็นเลขานุการสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อีกทั้ง สอวช. ยังมีบทบาทเป็นหน่วยงานประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (NDE) เป็นการดำเนินงานร่วมกับ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และ กรมลดโลกร้อน เกี่ยวกับกลไกด้านเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เห็นแนวโน้มในระดับนานาชาติ ที่มีการมุ่งเน้นเชื่อมโยงกลไกต่าง ๆ กับระบบนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นส่วนหนึ่งและเป็นเรือธงของยุทธศาสตร์ด้าน อววน. ที่ สอวช. ขับเคลื่อนอยู่ ผ่านโครงการริเริ่มและทำงานผ่านแผน ววน. กับหน่วยงานอย่าง สกสว. และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ดังที่ปรากฏในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ ที่ได้ดำเนินการร่วมกับ กรมลดโลกร้อน สกสว. และ ทปอ.
               ผศ.ดร.กฤษชัย ศรีบุญมา ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ทปอ. จะเป็นกลไกหลักในการผลักดันและส่งเสริมการทำงานของเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Campus) นำไปสู่ Low Carbon and Climate Resilient Society เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงพื้นที่ รวมถึงพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ (Upskill and Reskill) ผลิตที่ปรึกษาและผู้ตรวจประเมินภายนอก สำหรับการตรวจสอบความใช้ได้และการทวนสอบ (Validation and Verification) ด้านก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาแพลตฟอร์มกลางติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเครือข่ายมหาวิทยาลัย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยผลักดัน ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมสร้างขีดความสามารถ และสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของประเทศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0)

               วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมฯ นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย หัวหน้าหน่วยวิจัยพลังงานที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 35 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 203 ชั้น 2 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์
               การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบแนวทาง กรอบ และแผนการดำเนินงาน และร่วมกันพิจารณากำหนดค่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย รายสาขา ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0 ) ณ ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบค่าเป้าหมาย ทั้งในกรณีที่มีการดำเนินงานเองภายในประเทศ (Unconditional target) และที่ต้องการการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Conditional target) และเห็นชอบการกำหนดสาขาป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จะกำหนดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ทส. เปิดตัว Miss Climate Change “ขวัญ ชรัญญา” นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 ร่วมขับเคลื่อนภารกิจพิชิตโลกเดือด

               วันที่ 20 มีนาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มอบโล่เกียรติคุณ “Miss Climate Change” ให้แก่ นางสาว ชรัญญา เพชรสุวรรณนาคะ นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม สร้างกระแสความตระหนักรู้ เปลี่ยนแปลงสังคมไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ เข้าร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร
               นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบกับหลายประเทศทั่วโลก และถึงแม้ว่าประเทศไทย ได้หลุดจากอันดับประเทศเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากอันดับที่ 9 ไปสู่อันดับที่ 30 แต่ประเทศไทยยังคงต้องมีแผนในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เห็นความสำคัญถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นพลังการสื่อสารสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป จึงได้มอบหมายให้ นางสาว ชรัญญา เพชรสุวรรณนาคะ นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 เยาวชนจิตอาสา ที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นนักกิจกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน สร้างการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งในระดับชุมชน และระดับประเทศ เป็น “Miss Climate Change” โดยจะมาช่วยเป็นกระบอกเสียงและขับเคลื่อนกิจกรรมในการสร้างการรับรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิดเป็นกระแสสังคมในวงกว้าง นำไปสู่ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ์เป็นศูนย์ หรือ Net Zero รวมถึงมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”