เริ่มต้นปรับพฤติกรรมที่ตัวเราเอง ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกได้

               เมื่อพลาสติกถูกทิ้งเป็นขยะออกจากมือไปแล้วมักจะกลายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่มันสร้างผลกระทบต่อโลกอย่างใหญ่หลวง ข้อมูลจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เผยว่า ปัจจุบันมีขยะพลาสติกสะสมอยู่ในมหาสมุทรมากกว่า 75-199 ล้านตัน ในปี 2559 มีขยะพลาสติกประมาณ 9-14 ล้านตันไหลลงสู่ระบบนิเวศทางน้ำ และคาดว่าภายในปี 2583 ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเป็น 23-37 ล้านตันต่อปี ซึ่งพลาสติกถือเป็นขยะในทะเลที่มากที่สุด เป็นอันตรายที่สุด และคงอยู่ยาวนานที่สุด โดยคิดเป็น 85% ของขยะทะเลทั้งหมด (1)
               ขยะพลาสติกไม่เพียงส่งผลกระทบต่อธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพของมนุษย์อีกด้วย ไมโครพลาสติกที่เกิดจากการย่อยสลายของพลาสติกสามารถปนเปื้อนในอาหารทะเลและแหล่งน้ำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงเมื่อบริโภคเข้าไป (1)
               ด้วยเหตุนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastics หรือ SUPPs) จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นปริมาณขยะก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2566 สถานการณ์ขยะมูลฝอยของประเทศไทยมีมากถึง 26.95 ล้านตัน หรือประมาณ 73,840 ตันต่อวัน เฉลี่ยเท่ากับ 1.12 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ในจำนวนนี้ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ 9.31 ล้านตัน ขยะที่ถูกกำจัดถูกต้อง ร้อยละ 10.17 ล้านตัน และถูกกำจัดไม่ถูกต้อง 7.47 ล้านตัน และเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าขยะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5 ที่มีปริมาณขยะมูลฝอย 25.70 ล้านตัน โดยกรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะมากสุดถึง 12,748 ล้านตันต่อวัน (2)
               อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาไม่มีความพยายามในการแก้ปัญหานี้ เพราะภาครัฐได้ร่วมมือกับเครือข่ายห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศกว่า 90 บริษัท ร่วมงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียว “Everyday Say No To Plastic Bags” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – ธันวาคม 2565 ซึ่งโครงการนี้สามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวได้ทั้งสิ้น 14,349.6 ล้านใบ หรือ 81,531 ตัน (3)
               นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดำเนินกิจกรรมรณรงค์การลด และเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดทำตลาดสดต้นแบบ มาตรการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ โครงการเปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ (เมื่อคุณหมุนเวียน) ทำให้สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกในภาพรวมลดลง 43% หรือ 148,699 ตัน (3)
               ทว่าในภาพรวมเรายังรับทราบข้อมูลมลพิษจากพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่เนือง ๆ ตั้งแต่ชายหาดไปจนถึงเขตอาร์กติกอันไกลโพ้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อมหาสมุทร ทำลายระบบนิเวศและชีวิตสัตว์ป่า สถิติชี้ว่า เต่าทะเลหนึ่งในสองตัวกินพลาสติกเข้าไป นกทะเลถึง 90% มีพลาสติกอยู่ในกระเพาะอาหาร และยังทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล (7) อีกทั้งพลาสติกและโฟมที่ย่อยสลายยากเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของสารปรุงแต่งหรือสารประกอบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งอาจเป็นพิษและก่อผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว (5)
               เมื่ออันตรายของมันเป็นที่ประจักษ์ เราทุกคนจึงต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพราะจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ อย่างแนวคิด “Zero Waste” หรือการลดขยะให้เหลือศูนย์เป็นแนวทางหนึ่งที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมุ่งลดขยะตั้งแต่ต้นทาง หลักการสำคัญของ Zero Waste ได้แก่ 1A3R คือ หลีกเลี่ยง (Avoid) การใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะ ลดการใช้ (Reduce) นำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และรีไซเคิล (Recycle) ซึ่งทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย เช่น การพกถุงผ้า กระบอกน้ำส่วนตัว และปฏิเสธการใช้หลอดพลาสติก (6)
               ขณะที่ระดับนโยบายในต่างประเทศอย่างไอร์แลนด์เป็นตัวอย่างผู้นำการจัดการขยะพลาสติกด้วยการจัดเก็บภาษีถุงพลาสติก ซึ่งช่วยลดการใช้ลงกว่า 90% ส่วนในประเทศกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และกัมพูชา ได้ริเริ่มพื้นที่ปลอดพลาสติกและเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการใช้พลาสติกเพื่อส่งเสริมการลดขยะในระดับชุมชน (6)
               สำหรับชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การพกขวดน้ำส่วนตัวหรือช้อนส้อมแบบพกพาก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ ในอังกฤษมีการรณรงค์ให้ลดการใช้ช้อนส้อมและจานพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และแนะนำให้ประชาชนหันมาใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เช่น ซิลิโคนหรือไม้ไผ่ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (7)
               การลดพลาสติกยังสามารถทำได้ผ่านการเปลี่ยนวัสดุทางเลือก อย่างเช่น การใช้ Beeswax Wraps หรือไขผึ้งห่ออาหารแทนฟิล์มห่ออาหารพลาสติก หรือการเปลี่ยนจากถุงชาที่มีส่วนผสมของพลาสติกไปเป็นใบชาหรือถุงชาที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดขยะ แต่ยังช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกที่อาจปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม (7)
               อีกหนึ่งแนวทางสำคัญคือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมอาหาร โดยคำนึงถึง “วงจรชีวิต” ตั้งแต่การผลิตจนถึงการกำจัด โดยเน้นการใช้พลังงานสะอาดและวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักเบา ทนทาน และสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้จะช่วยลดปริมาณขยะในระยะยาว (1)
               อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาขยะพลาสติกให้สำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐอย่างเช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ส่งเสริมโครงการรณรงค์ให้ประชาชนแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และสนับสนุนให้มีโครงการต้นแบบในชุมชน (5)
               ภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การสนับสนุนให้ลูกค้าพกภาชนะส่วนตัวเพื่อลดขยะพลาสติก หรือการออกส่วนลดสำหรับผู้ที่ใช้แก้วน้ำของตนเอง วิธีการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดขยะ แต่ยังสร้างจิตสำนึกให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการขยะอย่างยั่งยืนอีกด้วย (5)
               เมื่อมองในภาพใหญ่ของขนาดปัญหาขยะพลาสติก อาจทำให้เราคิดว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ คงไม่สามารถช่วยแก้ไขอะไรได้มาก แต่ในความเล็กน้อยที่ร่วมกันคนละไม้คนละมืออย่างจริงจัง และต่อเนื่องก็สามารถสร้างพลังของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ อย่างเช่น การปฏิเสธถุงพลาสติก (พกพากล่องสำหรับการบรรจุอาหารสดหรือถุงผ้า) หรือการมีขวดน้ำติดส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่ดีและเอื้อต่อการแก้ปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะปริมาณขยะที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การหักล้างข้อมูลคาดการณ์ปัญหานี้จึงไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมกันของพวกเราทุกคน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) How to reduce the impacts of single-use plastic products, UN : Environment Programme.
(2) Thap PBS, “ขยะล้นเมือง” คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน
(3) ไทยรัฐออนไลน์, Future Perfect, ดราม่าถุงพลาสติก สู่ปัญหา ขยะไมโครพลาสติก ไทยติดอันดับโลก!
(4) Plastic pollution, IUCN : International Union for Conservation of Nature.
(5) ประชาชาติธุรกิจ, การจัดการขยะมูลฝอย วาระแห่งชาติ… เริ่มต้นได้ที่ตัวเรา
(6) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, รู้จัก Zero Waste สร้างชีวิตยุคใหม่ ให้ขยะเป็นศูนย์
(7) Tips to reduce your plastic waste, WWF.

ทส. ผนึกกำลัง 7 กระทรวง เพิ่มขีดความสามารถประเทศไทย รับมือวิกฤตโลกเดือด เชื่อมโยงเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก สู่ระดับประเทศ

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ผนึกกำลัง 7 กระทรวงลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพิ่มขีดความสามารถประเทศไทยในการรับมือและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื่อมโยงเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก ระดับประเทศ สู่การปฏิบัติระดับท้องถิ่น โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีพร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้ง ได้รับเกียรติจาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมพิธี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันรูปแบบของภูมิอากาศทั่วโลกในบางพื้นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงและเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับอดีตก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยจะเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงและยากต่อการคาดการณ์มากขึ้น โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก ที่ให้ความสำคัญกับ 6 สาขาที่มีความเสี่ยง ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำ เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข การท่องเที่ยว การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ ดังนั้น การดำเนินงานระหว่างสาขา จะต้องสอดคล้องและบูรณาการ โดยเฉพาะข้อมูลความเสี่ยงภัย การคาดการณ์ผลกระทบและความรุนแรง การเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงการอพยพและฟื้นฟูสถานการณ์ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง 7 กระทรวง จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP29 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณากรอบในการจัดทำตัวชี้วัดเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ล่าสุดประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาวในช่วง 30 ปี (ปี ค.ศ. 1993-2022) อยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งลดลงจากอันดับ 9 เทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในอันดับต้นแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลกและระดับประเทศสู่ระดับจังหวัดและท้องถิ่นอย่างบูรณาการและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 สาขา ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สำหรับในวันนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างกระทรวง ครบทั้ง 6 สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีเป้าหมาย ดังนี้
1) การจัดการทรัพยากรน้ำ : เพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ ลดความสูญเสียและเสียหายจากภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำ
2) เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร : รักษาผลิตภาพการผลิตและความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3) การท่องเที่ยว : เพิ่มขีดความสามารถของภาคการท่องเที่ยวให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนและรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4) สาธารณสุข : มีระบบสาธารณสุขที่สามารถจัดการความเสี่ยงและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ : บริหารจัดการทรัพยากรธรรมขาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
6) การตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ : ประชาชน ชุมชน และเมืองมีความพร้อมและขีดความสามารถในการปรับตัวต่อความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่
ทั้งนี้ หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยประสานงานกลางรายสาขาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานร่วมกัน และเตรียมความพร้อมในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรายสาขา ซึ่งจะเป็นกรอบการดำเนินงานหลักที่ถ่ายทอดสู่การปฏิบัติทั้งในระดับหน่วยงานและระดับพื้นที่ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดงานวิจัย นวัตกรรม ข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้เรื่องความเสี่ยงและการปรับตัว สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ สร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มเปราะบาง เสริมสมรรถนะในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติจากธรรมชาติในทุกรูปแบบ ให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

24 กุมภาพันธ์ วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า

ปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ที่พบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยส่วนหนึ่งมีแหล่งกำเนิดหลักจากไฟป่า และการเผาในพื้นที่เกษตร เป็นต้น ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาในช่วงต้นปีที่มีความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจายและสะสมในพื้นที่จนเกินมาตรฐาน
ดังนั้น เพื่อเป็นการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมลดโลกร้อนจึงขอร่วมรณรงค์ให้ประชาชนงดจุดไฟเผาป่า หยุดเผา เพื่อปกป้องผืนป่าไทยและป้องกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมควบคุมมลพิษ, 2568

กรมลดโลกร้อน ร่วมลงนาม Phuket Sandbox ปักหมุด Green Destination ภูมิภาคอาเซียน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน “Andaman Sustainable Tourism Forum 2025” และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ Green Hotel Plus Phuket Sandbox โดยมี นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกความร่วมมือ Green Hotel Plus Phuket Sandbox ร่วมกับ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สมาคมโรงแรมไทย สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ความร่วมมือดังกล่าว เป็นการยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวและปักหมุดการเป็น Green Destination ในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ต. มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน. จึงมีแนวทางความร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม…เพื่อส่งเสริมให้โรงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ตให้ได้รับการรับรอง Green Hotel Plus จากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จำนวนไม่น้อยกว่า 600 แห่ง ภายในปี 2569 และขอเสนอโครงการ Phuket Green Hotel Plus sandbox ในการเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อเป็นพื้นที่นำร่องของการเข้ารับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

DCCE ร่วมกับ UNDP จัดประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 และรายงานแห่งชาติฉบับที่ 5 ร่วมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 (NC5/BTR2) เสนอต่อ UNFCCC ครั้งที่ 1/2568

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับ Ms.Niamh Collier-Smith Resident Representative UNDP ประจำประเทศไทย นางสาวกานดา ชูแก้ว รองเลขาธิการ สผ. รองประธานกรรมการ นายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรรมการและเลขานุการ ผู้แทนกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้แทนกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ) กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมฯ จำนวน 30 ท่าน ประกอบด้วย ผู้แทนจาก UNDP หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งการประชุมฯ ในวันนี้ เพื่อพิจารณา (1) แผนงานและงบประมาณการดำเนินงานโครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (BTR1) และรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 5 รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 (NC5/BTR2) เสนอต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และ (2) การเปลี่ยนหน่วยดำเนินการ (Implementing Partner: IP) ของโครงการฯ
ประชุมฯ มีมติเห็นชอบต่อแผนงานและงบประมาณการดำเนินโครงการฯ ประจำปี พ.ศ. 2568 ที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก (2) การติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการของ NDC (3) การรวบรวมข้อมูลผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ข้อมูลด้านการเงิน การถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี การสนับสนุนการเสริมสร้างขีดความสามารถที่จำเป็น (5) ข้อมูลอื่น ๆ (เพศสภาวะ การวิจัย การสร้างเครือข่าย) (6) การจัดประชุมการอบรม และ (7) การติดตามประเมินผล และเห็นชอบให้เปลี่ยนหน่วยดำเนินการของโครงการฯ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่งมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน พัฒนากลไกเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ภาคอีสาน

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมพัฒนากลไกเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนเครือข่ายเชิงพื้นที่ ในการปรับตัวและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 20 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมเจริญธานี ขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยได้รับเกียรติจาก นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานในพิธีปิด พร้อมร่วมรับฟังและให้ข้อเสนอแนะการสรุปผลแนวทางการดำเนินกิจกรรมเครือข่ายแกนนำเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนเครือข่ายเชิงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เข้าร่วมจำนวน 104 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูจากโรงเรียนเครือข่ายลูกเสืออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แกนนำเด็กและเยาวชนจากกลุ่มแกนนำเครือข่ายองค์การด้านสิ่งแวดล้อม ผู้นำชุมชน และเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์ การจัดประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขีดเความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และการวางแผนการดำเนินกิจกรรมเชิงประเด็นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้มีความสอดคล้องกับแผนและนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะครั้งที่ 1 (สอบข้อเขียน) และกำหนดวัน เวลา สถานที่ ในการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะ เพื่อเป็นพนักงานราชการทั่วไป

Flexitarian-กินมังฯ แบบยืดหยุ่น เทรนด์บริโภคใหม่ช่วยลดโลกร้อน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยที่วงจรชีวิตและห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก การศึกษาจากแคนาดาในปี 2010 เตือนว่า หากการผลิตปศุสัตว์ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2050 คาร์บอนที่ปล่อยจากภาคปศุสัตว์เพียงอย่างเดียวอาจผลักดันให้โลกเข้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยอุณหภูมิโลกอาจสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของระบบนิเวศในระดับโลก (1)
แม้ปัญหานี้จะดูใหญ่และซับซ้อน แต่จุดเริ่มต้นของการแก้ไขสามารถเริ่มได้จากระดับบุคคล โดยที่การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เพียง 25% จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ทั่วโลกได้ถึง 12.5% การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบจากการผลิตปศุสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลในระดับมหภาคที่ช่วยฟื้นฟูสมดุลของระบบนิเวศและลดความรุนแรงของภาวะโลกร้อนในระยะยาวอีกด้วย (1)
ปัจจุบันการบริโภคอาหารแบบที่เรียกว่า Flexitarian (คำผสมระหว่าง Flexible และ Vegetarian) หรือการกินมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น กำลังได้รับความสนใจในฐานะทางออกสำคัญต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมจาก “การกิน”แนวทางนี้ไม่ได้หมายถึงการละเว้นเนื้อสัตว์ทั้งหมด แต่เน้นการลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ลงและเพิ่มพืชเป็นแหล่งโปรตีนหลัก เพื่อสร้างสมดุลให้กับสุขภาพและธรรมชาติ (3)
การลดปริมาณเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารและเพิ่มพืชเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญไม่เพียงช่วยลดภาวะโลกร้อนเท่านั้น งานวิจัยใน Science Advances ชี้ว่า การลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มพืชสามารถช่วยให้อุณหภูมิโลกคงที่ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร เช่น ก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ รวมถึงลดผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ และคาดว่าจะลดต้นทุนการลดคาร์บอนได้ถึง 43% ภายในปี 2050 (2)
การรับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นสามารถทำได้ง่ายและปรับให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่หลากหลาย การลดปริมาณเนื้อสัตว์ เช่น การงดมื้อเนื้อสัปดาห์ละครั้ง หรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากพืชแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เป็นการเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพ โดยในหลายประเทศ เช่น เบลเยียม บราซิล และเยอรมนี ได้เริ่มโครงการส่งเสริมการลดบริโภคเนื้อสัตว์ในโรงเรียนและสถานที่ทำงานแล้ว ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (1)
ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดอาหารจากพืชกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในสหรัฐฯ มีมูลค่าถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ยอดขายโปรตีนและนมจากพืชเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยโปรตีนจากพืชเติบโตถึง 74% ในสามปี ขณะที่นมทางเลือก เช่น ถั่วเหลืองและอัลมอนด์ เติบโต 33% แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์และหันมาเลือกอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น (3)
นอกจากนี้ การสำรวจพบว่า ตลาดเนื้อสัตว์ทางเลือกทั่วโลกจะเติบโตจาก 7,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 สู่ 17,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ยังช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม โดยปัจจุบันพื้นที่กว่า 80% ใช้เลี้ยงสัตว์หรือปลูกอาหารสัตว์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนมาใช้ปลูกพืชสำหรับคนได้มากขึ้น (3)
ระบบอาหารที่พึ่งพาปศุสัตว์อย่างหนักเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญ โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ปศุสัตว์ในภาคอุตสาหกรรมใช้น้ำและพื้นที่อย่างมหาศาลถึง 77% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกสำหรับปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ขณะที่พื้นที่เพียง 23% ใช้ปลูกพืชอาหารเพื่อมนุษย์โดยตรง หากผู้คนยังคงพึ่งพาปศุสัตว์ในรูปแบบเดิม เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 7,900 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 10,000 ล้านคนภายในปี 2050 จะต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้นเท่ากับพื้นที่ของประเทศไทยถึง 12 ประเทศ ซึ่งเกินขีดจำกัดของโลกในปัจจุบัน (4)
การบริโภคเนื้อสัตว์ที่มากเกินไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ไม่เพียงแต่ทะลุ “เขตจำกัดของโลก” (Planetary Boundaries) แต่ยังเกิน “เขตสุขภาพ” (Healthy Boundary) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน การเปลี่ยนมาบริโภคอาหารแบบ Flexitarian ที่เน้นโปรตีนจากพืชและลดเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้ นักวิจัยคาดว่า หากปรับพฤติกรรมนี้อย่างกว้างขวางจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง 1.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรักษาสมดุลของโลกอย่างยั่งยืน (4)
การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไม่จำเป็นต้องทำแบบสุดโต่งหรือยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงวันหรือสองวันต่อสัปดาห์ เป็นวิธีที่ง่ายและไม่สร้างความกดดัน นอกจากนี้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืช เช่น อาหารจากพืช ไส้กรอก หรือผลิตภัณฑ์นมทางเลือกอย่างนมอัลมอนด์และโยเกิร์ตมะพร้าว ยังช่วยให้การปรับตัวเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อและสร้างความหลากหลายในมื้ออาหารอีกด้วย (5)
สำหรับผู้ที่เริ่มต้น การลองค้นหาร้านอาหารที่มีเมนูอาหารมังสวิรัติหรือวีแกนในละแวกใกล้บ้าน หรือลองทำอาหารง่าย ๆ ที่ลดเนื้อสัตว์โดยเพิ่มถั่วแทนนับเป็นตัวเลือกที่ดี นอกจากนี้ การวางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าจะช่วยให้การเปลี่ยนมาสู่การบริโภคแบบยืดหยุ่นทำได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสสนุกกับการทดลองสูตรอาหารใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อย และดีต่อสุขภาพ (5)
ในอนาคต การกินมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น หรือ Flexitarian อาจกลายเป็นแนวทางหลักที่กำหนดทิศทางการบริโภคอาหารทั่วโลก การปรับลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศ การมีส่วนร่วมของทุกคนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค แม้เพียงเล็กน้อย สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ และยั่งยืนต่ออนาคตของโลกใบนี้ได้

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Flexitarianism : flexible or part-time vegetarianism. Department of Economic and Social Affiars : Sustainable Development. United Nations
(2) Plant-heavy ‘flexitarian’ diets could help limit global heating, study finds. The Guardian.
(3) Vegan, Vegetarian or flexitarian? 3 ways to eat more sustainably. Industries in Depth. WORLD ECONOMIC FORUM.
(4) iGreen. ปลุกกระแส ‘ปฏิรูประบบอาหาร’ ลดก๊าซมีเทนรับมือ Climate Change
(5) Part-time vegan : The case for going flexitariann in 2024. The New Zealand herald.

ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ผ่านการพิจารณาสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนอีโคสคูล ระดับสูง (Eco-School Advance) รอบการสมัครปี 2567

ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ผ่านการพิจารณาสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนอีโคสคูล ระดับกลาง (Eco-School Intermediate) รอบการสมัครปี 2567