กรมลดโลกร้อน ขับเคลื่อนเครือข่ายภาคประชาชน ตั้งรับ ปรับตัว ผสานภูมิปัญญา เฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน ยกระดับสู่การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม ร่วมกับเครือข่ายลุ่มน้ำภูมินิเวศดอยอินทนนท์ และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม “พิธีสาปแช่ง คนเผาป่า” ผสานความรู้และภูมิปัญญา เฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สู่สังคมคาร์บอนต่ำ ณ ศูนย์เรียนรู้การจัดการอย่างมีส่วนร่วมอินทนนท์ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนางสาวอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 คน ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดจังหวัดเชียงใหม่ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายภูมินิเวศดอยอินทนนท์ เครือข่าย ทสม. เครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน เยาวชนและสื่อมวลชน
กิจกรรมสำคัญประกอบไปด้วย
1. กิจกรรมรวมพลังป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน “พิธีสาปแช่ง คนเผาป่า” และการมอบกองทุน อุปกรณ์ดับไฟ และน้ำดื่มสนับสนุนชุมชนเฝ้าระวังไฟป่า ในพื้นที่
2. เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การตั้งรับ ปรับตัวของชุมชน เฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควันและการยกระดับสู่การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
โดยมีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ คือ การยกระดับการทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ โดยจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ พร้อม ยกระดับชุมชน พื้นที่มีความพร้อม พัฒนาให้เป็นต้นแบบและเชื่อมร้อยเป็นเครือข่ายเดียวกัน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมบรรยาย “Why Go Green ในหลักสูตร NIDA BCG”

เมื่อวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ Why Go Green ในหลักสูตร NIDA Bio Circular Green-Economy Executive Program (NIDA BCG) จัดโดยคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาครัฐและภาคเอกชนในการตอบโจทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ โรงแรม อีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ
ดร.พิรุณ กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ เป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ แนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจ รวมถึงมาตรการและเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบยั่งยืนและคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ หลักสูตร NIDA BCG เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ และพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งสร้างเครือข่ายของผู้นำและผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถนำประสบการณ์ที่ได้ไปตอบโจทย์การบริหารองค์กรในยุคที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อไปพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเป็นวิทยากร “National Policies for Sustainability” ในหลักสูตร Top Green รุ่นที่ 1

เมื่อวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นวิทยากรในหลักสูตรอบรมผู้บริหารระดับสูงสำหรับผู้นำที่มองไกลกว่าความยั่งยืน (TOP GREEN Executive Program: Together for Our Planet) ในหัวข้อ National Policies for Sustainability ที่จัดขึ้นโดย สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกร์มหาวิทยาลัย ร่วมกับนายประวิทย์ ประกฤติศรี รองประธานหอการค้าไทย และ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ณ โรงแรม Chatrium Hotel Riverside Bangkok โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร Top Green รุ่นที่ 1 จำนวน 58 ท่าน
โดยนายปวิช เกศววงศ์ ได้บรรยายเกี่ยวกับ ทิศทางนโยบายของประเทศไทยต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) และการผลักดันการดำเนินงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) อาทิ เช่น (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ … แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ และผลกระทบของประเทศไทยจากการปรับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน บูรณาการหน่วยงานสื่อสารเชิงรุก สร้างความตระหนักรู้ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะทำงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ครั้งที่ 1/2568 เพื่อบูรณาการสื่อสารเชิงรุกและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะทำงาน เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รองประธานคณะทำงาน นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เลขานุการฯ คณะทำงานจากหน่วยงานภายในกรมฯ และหน่วยงานภายนอกรวม 19 หน่วยงาน รวมผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 50 คน
โดยที่ประชุมได้หารือแนวทางการดำเนินงานและแผนการสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าในและความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2568 มีประเด็นการสื่อสารที่สำคัญ ประกอบด้วย 1) ความรู้ สถานการณ์ ความเคลื่อนไหวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลกและระดับประเทศ 2) นโยบายและแผนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) การลดก๊าซเรือนกระจก 4) การปรับตัวและการสร้างขีดความสามารถเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 5) การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6) การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม กิจกรรม 7) กิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ?? การจัดการผลกระทบจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในการบูรณาการข้อมูลการสื่อสารเชิงรุกและการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมรับมือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการขยายผลการสื่อสารผ่านกลไกและช่องทางของหน่วยงานโดยเฉพาะช่องทางของกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ไปสู่ทุกภาคอย่างเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ คณะทำงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ รวมจำนวน 19 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมอนามัย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ต้นไม้ฟอกอากาศ ช่วยดูดฝุ่น PM2.5

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฝุ่น PM 2.5 นั้น ในปัจจุบันทวีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ฝุ่น PM2.5 นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศทั้งบดบังทัศนียภาพแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคเยื่อบุตาอักเสบ และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอดอีกด้วย
ท่ามกลางวิกฤติมลพิษทางอากาศที่เป็นปัญหาระดับประเทศและยากจะแก้ไข เราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ลดความเสี่ยงที่จะได้รับมลพิษทางอากาศนี้ นอกจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยแล้ว “การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ” เป็นหนึ่งทางเลือกที่ง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศและปล่อยออกซิเจนบริสุทธิ์ แต่ต้นไม้บางชนิดยังมีคุณสมบัติพิเศษในการกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก กักเก็บสารพิษ และช่วยลดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างต้นไม้ที่นิยมปลูกเพื่อฟอกอากาศ เช่น
– ต้นยางอินเดีย ต้นไม้ใบกว้างที่โดดเด่นเรื่องการดูดซับสารพิษในอากาศ เหมาะสำหรับการตกแต่งภายในบ้านให้มีสไตล์มินิมอล สามารถช่วยลดสารพิษประเภทฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ได้ดี ดูแลง่ายเพียงเช็ดใบให้สะอาดและรดน้ำวันละครั้ง หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแฉะเกินไปและควรตั้งในที่มีแสงแดดรำไร
– ต้นลิ้นมังกร ต้นไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการปล่อยออกซิเจนตอนกลางคืน ทำให้เหมาะสำหรับตั้งในห้องนอน สามารถดูดซับสารพิษประเภทเบนซีน (Benzene), ไตรคลอโรเอทิลีน (Trichloroethylene) และฟอร์มาลดีไฮด์ได้ดี ดูแลง่าย หากวางในร่มให้รดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้าวางในที่มีแสงแดดอ่อนๆ ควรรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
– ต้นเดหลี พืชที่มีความสามารถพิเศษในการดูดซับสารพิษ เช่น แอมโมเนีย (Ammonia), ไซลีน (Xylene) และฟอร์มาลดีไฮด์ ช่วยทำให้อากาศภายในห้องสะอาดขึ้น เหมาะสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงหรือเด็กเล็ก ต้องการความชื้นปานกลาง ควรรดน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และนำไปรับแสงแดดรำไรเป็นครั้งคราว
– ต้นมอนสเตอร่า ต้นไม้ฟอกอากาศที่มีใบขนาดใหญ่ ช่วยดักจับฝุ่นละอองในอากาศได้ดี และสามารถดูดซับสารพิษอย่างฟอร์มาลดีไฮด์และเบนซีนได้ถึง 60-70% เลี้ยงง่าย เพียงรดน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
– ต้นพูลทอง มีความสามารถในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 75% ในพื้นที่ปิด เหมาะสำหรับตั้งในห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่นเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศ สามารถเลี้ยงในน้ำได้ เพียงให้โดนแดดรำไร และเติมน้ำสะอาดอยู่เสมอ
– ไทรใบสัก เป็นต้นไม้ยอดนิยมที่ช่วยฟอกอากาศได้ดีพอๆ กับต้นยางอินเดีย มีความสามารถในการดักจับฝุ่นและลดสารพิษในอากาศ ดูแลง่ายเพียงหมั่นเช็ดใบให้สะอาดและรดน้ำอย่างเหมาะสม
– สาวน้อยประแป้ง พืชฟอกอากาศที่ช่วยกรองมลพิษภายในบ้านได้ดี สามารถลดสารพิษในอากาศ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์และเบนซีนได้ มีความทนทานและต้องการน้ำไม่มาก ควรรดน้ำวันละครั้งและให้โดนแดดอ่อนๆ ยามเช้าเพื่อให้ใบมีสีสดขึ้น
– ต้นกระบองเพชร (Caribbean Tree Cactus) และแคคตัสสายพันธุ์อวบน้ำพืชที่สามารถดูดซับสารพิษในอากาศได้ดี โดยเฉพาะฟอร์มาลดีไฮด์และคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องการแสงแดดจัด และรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง เหมาะสำหรับวางไว้ในห้องทำงานหรือมุมที่มีแสงแดดเพียงพอ
การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เราลดความเสี่ยงที่จะได้รับมลพิษทางอากาศและยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับที่พักอาศัย นอกจากจะปลูกต้นไม้ฟอกอากาศแล้วควรใช้เครื่องฟอกอากาศควบคู่ไปด้วย เพื่อให้อากาศที่เราได้รับมีความบริสุทธิ์หรือมีมลพิษน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นการตั้งรับปรับตัวในช่วงวิกฤตสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 สูงในปัจจุบัน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– เทคโนโลยีชาวบ้าน, 8 ต้นไม้ฟอกอากาศ แต่งห้องสวยแถมช่วยกรองฝุ่น
– Areeya, 8 ต้นไม้ฟอกอากาศในบ้าน นวัตกรรมธรรมชาติเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
– ไทยรัฐออนไลน์, 30 สุดยอดต้นไม้ฟอกอากาศ มีอะไรบ้าง

กรมลดโลกร้อน จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “การดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive Climate Action)” ณ โรงแรมเดอะ ควอเตอร์ อารีย์ บาย ยูเอชจี โดยมีนายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นางสาวอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) เข้าร่วมการประชุม สำหรับการประชุมดังกล่าว สส. ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย และบริษัท แอดเวนเทจ คอนซัลติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยเน้นถึงผลกระทบที่แตกต่างกันในบริบทของเพศและสังคม (Gender and Social Inclusive) บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ได้รับผลกระทบในการกำหนดนโยบายและการนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นปัญหาและความท้าทายในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งข้อคิดเห็นจากการประชุมในครั้งนี้จะถูกนำไปวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อจัดทำเป้าหมาย มาตรการ และกรอบการดำเนินงานของแผนแม่บทฯ ในลักษณะการบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) และการมีส่วนร่วมทางสังคมที่ครอบคลุมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ สส. ได้กำหนดให้มีจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังและสะท้อนมุมมองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมิติสำคัญอื่น ๆ อาทิ การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อปรับปรุงให้แผนแม่บทฯ มีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ประจำปี พ.ศ. 2568

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ กระโจมแตร สวนหลวง ร.9 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมทรัพยากรน้ำ โดยมี นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนและเยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารจากหลากหลายภาคส่วน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา จำนวนกว่า 500 คน
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นำโดยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นำเจ้าหน้าที่เข้าร่วมงาน และร่วมจัดนิทรรศการ ในหัวข้อ การตั้งรับ ปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาขาการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย การเสวนา: หัวข้อ “รู้คุณค่า ร่วมปกป้อง สร้างแรงขับเคลื่อน” แลกเปลี่ยนแนวคิดด้านนโยบายและการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ฐานการเรียนรู้: เสริมสร้างความรู้เยาวชนด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ และนิทรรศการ: ให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมความรู้ ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

2 กุมภาพันธ์ : วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (World Wetlands Day)

“PROTECTING WETLANDS FOR OUR COMMON FUTURE – Value, Protect, Inspire”
หรือ “ปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่ออนาคตของเรา – รู้คุณค่า ร่วมปกป้อง สร้างแรงขับเคลื่อน”

ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญและป้องกันไม่ให้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ โดยพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลกกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 700,000 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่อยู่ในดินพรุ และมีคาร์บอนกักเก็บได้ 96 ล้านตันต่อปี ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำจึงสามารถช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ นอกจากนี้ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำยังสามารถปรับตัวรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์ได้อีกด้วย
ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนตระหนักและเห็นความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ เนื่องจากระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำมีบทบาทในการหล่อเลี้ยงทุกชีวิต แต่กำลังเผชิญกับภัยคุกคาม การส่งเสริมความร่วมมือ รวมทั้งการกระตุ้นให้เกิดความตระหนัก และปกป้องระบบนิเวศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญนี้ไปด้วยกัน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– Wetlands & Climate Change, Department of Ecology State of Washington, n.d.
– World Wetlands Day เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศคุกคามพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก, Greenpeace, 2022

ปลูกป่า – เพิ่มพื้นที่สีเขียว การสร้าง ‘ปอดของโลก’ ที่ยั่งยืน

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและการปลูกป่า ไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกเพื่อความยั่งยืนในอนาคต แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายประเทศ หลายเมืองใหญ่ของโลกเริ่มตระหนักและเห็นความสำคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศภายในเมือง โดยหันมาพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีตัวอย่างที่น่าสนใจจากหลายประเทศ ซึ่งต่างริเริ่มและสานต่อโครงการเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในเมืองและผืนป่า เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตไปพร้อมกับลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการผลิตน้ำมัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยูเออีได้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง เช่น โครงการ “Dubai Green Spine” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สุดในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เมืองดูไบ โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนถนน Sheikh Mohammed Bin Zayed (E311) ให้กลายเป็นทางเดินสีเขียวที่ยาวถึง 64 กิโลเมตร โดยจะมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการใช้รถยนต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง (1)
โครงการยักษ์ใหญ่นี้มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2040 ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นโครงการขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน ทั้งในแง่การทำเกษตรในเมือง การปลูกต้นไม้พื้นเมือง และการลดอุณหภูมิในเมือง การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนได้สัมผัสกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันเมืองยังสามารถรับมือกับปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบพื้นที่เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การเดินเล่น การออกกำลังกาย ไปจนถึงการพักผ่อนในสวนสาธารณะ (1)
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองในธรรมชาติ” (City in Nature) ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวใหม่ ๆ ทั่วเมือง ตลอดจนการปลูกต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะ และที่พักอาศัย รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างและดูแลพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ โครงการ “Singapore Green Plan 2030” ของสิงคโปร์จึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเมืองให้มีความยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต (2)
สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 200 เฮกตาร์ภาย (ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร) ในปี ค.ศ. 2030 และยังมีโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นทั่วประเทศภายในปีเดียวกัน โดยมีการสร้างสวนธรรมชาติ และฟื้นฟูระบบนิเวศในเขตเมือง เพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อนและมลพิษทางอากาศ ที่สำคัญคือการใช้พื้นที่สีเขียวในการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตเมือง (2)
ตัวอย่างโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากทวีปอเมริกาใต้ คือการสร้างพื้นที่คุ้มครองใหม่ในโบลิเวียที่มีชื่อว่า “El Gran Manupare” ซึ่งครอบคลุมกว่า 452,639 เฮกตาร์ (ประมาณ 4,526.39 ตารางกิโลเมตร) ในพื้นที่ป่าแอมะซอนตอนเหนือ การจัดตั้งพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “โมเสกการอนุรักษ์” หรือการสร้างเครือข่ายของพื้นที่คุ้มครอง หรือเขตอนุรักษ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกัน เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องของระบบนิเวศและพื้นที่สีเขียว โดยเชื่อมต่อกับพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ เช่น Reserva Nacional de Vida Silvestre Amazónica Manuripi ทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 10 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 100,000 ตารางกิโลเมตร) ในภูมิภาค พื้นที่ใหม่แห่งนี้มีเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (3)
การขยายพื้นที่สีเขียวของโบลิเวียถือเป็นการเพิ่มความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศ ซึ่งมีการวางแผนร่วมกับองค์กรต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าแอมะซอนที่เป็นปอดของโลก พื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยกักเก็บคาร์บอน แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่นในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรอนุรักษ์ และชุมชนพื้นเมืองในการดูแลและรักษาพื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพ (3)
อีกหนึ่งแนวทางของประเทศในทวีปแอฟริกาที่น่าสนใจคือ โครงการปลูกต้นไม้ประจำปีภายใต้ชื่อ “Green Ghana Day” ของประเทศกานา โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา กานาตั้งเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้ถึง 10 ล้านต้น ซึ่งถือเป็นความพยายามในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของป่าไม้ (4)
โครงการนี้เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2564 และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป โดยในแต่ละปีมีการตั้งเป้าหมายการปลูกต้นไม้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของป่าไม้ และลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศ ความพยายามนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับชาติที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ในด้านการจัดการป่าไม้อย่างมีประสิทธิภาพ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4)
การเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการปลูกป่าในเมือง และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกถือเป็นการดำเนินการโครงการที่สำคัญ มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศต่าง ๆ ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ไม่เพียงแค่ในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว การลงทุนในพื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ แต่ยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่น ๆ ในการเดินตามรอยการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ทุกการกระทำล้วนส่งผลดีต่อโลกของเราในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– World’s greenest highway combines cutting-edge sustainability, enhanced community living, and pioneering green infrastructure to redefine urban mobility., DUBAI GREEN SPINE 64KM SUSTAINABLE HIGHWAY, URB : A Global Leader in Developing Sustainable Cities
– National Parks, Singapore Government Agency
– In Bolivia, a ‘conservation mosaic’ gets another (big) piece, Conservation International : Fighting to Protect Nature for People.
– Ghana to plant 10 million trees in the 2024 Edition of Green Ghana Day – Minister for Lands and Natural Resources, Ministry of Information, Ghana

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ (Climate Policy and Biodiversity Project) ครั้งที่ 1/2568

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) จัดการประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ (Climate Policy and Biodiversity Project) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานและรองประธาน 3 คน ประกอบด้วย (1) นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (2) นายทรงเกียรติ ตาตะยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (3) นายทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันประจำประเทศไทย
โครงการ Climate Policy and Biodiversity Project เป็นโครงการความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2570 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการพัฒนา และขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพของไทยโดยในการประชุมดังกล่าว มีการรับทราบหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Note) โครงการฯ คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับโครงการฯ และการดำเนินงานของโครงการในช่วงที่ผ่านมา (พ.ศ.2565 – 2567) รวมถึงเห็นชอบแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2568 – 2570) และพิจารณาให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมโยงและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของประเทศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”