“ความมั่นคงทางอาหาร” โจทย์ท้าทาย รับมือโลกเดือด

               วิกฤตสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อระบบอาหารของโลก ล่าสุดจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Food (2024) ได้ศึกษาการผลิตพืชอาหารหลัก 6 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพด ข้าว ถั่วเหลือง ข้าวสาลี มันสำปะหลัง และข้าวฟ่าง พบว่า ผลผลิตของพืชเหล่านี้มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มสูงขึ้น ในทุก ๆ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก 1 องศาเซลเซียส อาจทำให้ผลผลิตอาหารลดลงถึง 120 แคลอรีต่อคนต่อวัน หรือคิดเป็น 4.4% ของการบริโภคที่แนะนำในแต่ละวัน เทียบเท่ากับ การไม่ได้กินอาหารเช้า สำหรับประชากรโลกโดยเฉลี่ย
               ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจาก 12,658 พื้นที่ใน 54 ประเทศ เพื่อประเมินการปรับตัวของผู้ผลิตอาหารต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจำลองผลกระทบในอนาคตเทียบกับสถานการณ์ที่โลกร้อนขึ้นกับกรณีที่อุณหภูมิคงที่ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000
               ในกรณีสถานการณ์ที่โลกร้อนมากสุด มีการคาดว่า ภายในปี 2100 ผลผลิตถั่วเหลืองจะลดลงถึง 26% ส่วนในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับนโยบายปัจจุบัน คาดว่า ถั่วเหลืองอาจลดลง 16% ข้าวสาลีลดลง 7.7% ข้าวโพดลดลง 8.3% ส่วนข้าวจะเป็นพืชเดียวที่คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันในปี 2100 ประชากรโลกอาจจะเพิ่มจาก 8 พันล้านคน เป็น 10 พันล้านคน ทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มสวนทางกับผลผลิตที่ลดลง โดยเฉพาะภูมิภาคที่เป็นแหล่งผลิตอาหารหลักของโลก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่ประเทศยากจนประสบปัญหาในการเข้าถึงอาหารมากขึ้น
               นอกจากนี้ รายงาน Global Report on Food Crises 2025 ยังได้ระบุว่า ประชากรโลกกว่า 295 ล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะหิวโหยขั้นรุนแรงในปีที่ผ่านมา และนับปีที่ 6 ติดต่อกัน ที่มีสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งและความรุนแรง การพลัดถิ่นจากภัยพิบัติ รวมถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ล้วนส่งผลให้ ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ความมั่นคงทางอาหารสั่นคลอน และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกหยุดชะงัก
               ทางออกที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อรับมือกับวิกฤตความมั่นคงทางอาหารที่กำลังทวีความรุนแรง จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในหลายด้าน เช่น การวางแผนเชิงระบบในระยะยาว การส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสม การสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับตัวได้จริง การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศ การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การให้การสนับสนุนด้านการเงินและการลงทุนในระบบอาหาร และที่สำคัญ คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อชะลอความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และรักษาความมั่นคงทางอาหารของโลกในระยะยาวไว้ได้อย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) The Guardian. (2025, June 18). Climate crisis could hit yields of key crops even if farmers adapt.
(2) Nature Food. (2024). Climate impacts on global crop yields. Nature Food.
(3) Global Report on Food Crises 2025.

กรมลดโลกร้อน รับการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

               เมื่อวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นายวันชัย จริยาเศรษฐโชค หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองตรวจราชการ สป.ทส. ได้เข้าตรวจราชการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ตามแผนการตรวจราชการ ทส. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุมกรรณิการ์ – ราชาวดี เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณโครงการสำคัญของหน่วยงาน และประเด็นข้อสั่งการของผู้บริหารกระทรวงฯ พร้อมทั้งปัญหา อุปสรรคการดำเนินงานในภาพรวม โดยมี ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นายปวิช เกศววงศ์ และนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับและร่วมประชุมฯ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน และรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ตรวจราชการฯ สำหรับปรับปรุงการดำเนินงานต่อไป อาทิ การเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมให้เป็นไปตามแผน การเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศโดยมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาช่วยจัดการ เช่น การจัดเก็บ วิเคราะห์ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในสาขาป่าไม้ เป็นต้น การขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านกลไก กนภ. เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนและประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้ง การจัดหางบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานจากแหล่งทุนทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมกับ ครีเอจี้ จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการขอรับการสนับสนุนทางการเงินด้านการปรับตัวฯ

               วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับบริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผลการสังเคราะห์ประเด็นช่องว่างและความต้องการสำหรับการขอรับการสนับสนุนทางการเงินด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ ห้องพระวิษณุ ชั้น 3 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจากนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกล่าวเปิดและเข้าร่วมการประชุม
               การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ มีผู้เเทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันทางการเงิน เข้าร่วมทั้งในสถานที่และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มากกว่า 120 คน โดยได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อผลการสังเคราะห์ในประเด็นช่องว่างและความต้องการทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1) ด้านข้อมูล 2) ด้านเทคนิค ด้านสถาบัน นโยบาย และกลไกการประสานงาน และ 4) ด้านการเงินและทรัพยากร โดยข้อเสนอแนะที่ได้รับจะนำไปจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และคู่มือแนวทางการเข้าถึงแหล่งงบประมาณด้านการปรับตัวฯ ที่มีความเหมาะสม และสามารถดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมพิธีปิดการประชุม Bonn Climate Change Conference 2025

               เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมพิธีปิดการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 -26 มิถุนายน 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดย ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมพิธีปิดดังกล่าว
               ผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้ ภาคีรับทราบความก้าวหน้าของการเจรจา โดยเฉพาะการพิจารณาการดำเนินการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม การทบทวนสถานการณ์โลก ความโปร่งใส และการกำหนดเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก โดยกลุ่ม G77 และจีน เน้นความสำคัญต่อการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา และเรียกร้องให้เกิดความรับผิดชอบ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบและได้รับความสูญเสียและความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นมาตรการกีดกันทางการค้าฝ่ายเดียว (Unilateral trade measures) ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก และบราซิลในฐานะประธาน COP 30 ได้กล่าวต้อนรับภาคีในการเข้าร่วมการประชุม COP 30 ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในโอกาสนี้ด้วย โดยคาดหวังว่า COP 30 จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทุกภาคี และคนรุ่นใหม่จะมีบทบาทมากขึ้น นอกจากนี้ นาย Simon Stiell เลขาธิการบริหาร UNFCCC ได้กล่าวในพิธีปิดประชุม โดยกล่าวว่า เราจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป ให้รวดเร็วขึ้น และยุติธรรมขึ้น หลังจากการประชุมนี้ยังคงต้องดำเนินการต่อเนื่องก่อนถึงการประชุม COP 30 มีภารกิจอีกมากมายที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง 1.5 Pathway โดยภาคีจะต้องเจรจาหาแนวทางตัดสินใจร่วมกัน อีกทั้ง ยังเร่งรัดการจัดทำ NDC 3.0 ที่จะต้องจัดส่งภายในเดือนกันยายนนี้ ตลอดจนการร่วมแบ่งปันบทเรียนและอุปสรรคเพื่อนำไปจัดทำรายงาน BTR Synthesis Report ฉบับแรก และการรายงานความก้าวหน้าของแผนการปรับตัวระดับชาติ ซึ่งจะมีการหารือในการประชุม COP 30 ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จับมือสภาอุตสาหกรรม เดินหน้าฉลากรับรองตนเอง “ECO PLUS” หนุนผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำผ่านระบบจัดซื้อภาครัฐ

               วันที่ 26 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมหารือร่วมกับผู้แทนสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน และสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาฉลากสิ่งแวดล้อมและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเภทรับรองตนเอง ณ ห้องประชุมอินทนิล (301) ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               การประชุมในครั้งนี้ได้แลกเปลี่ยนการดำเนินงานระหว่างกรมการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหลังจากที่ MOU ได้สิ้นสุดลง (กันยายน 2567) ประกอบด้วย การพัฒนารูปแบบการขึ้นทะเบียนฉลากรับรองตนเอง ECO PLUS ตามแนวทางการปรับรูปแบบการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิต การบริการ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (G – Green) การจัดกลุ่มและมุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์รับรองตัวเอง ประเภท ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และได้ร่วมกันพิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวการดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ การส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสำหรับสถานประกอบการที่สนใจและที่อยู่ระหว่างการยื่นขอขึ้นทะเบียน โดย หน่วยรับดำเนินการแทนกรมและการเสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ หรือแรงจูงใจ สำหรับสถานประกอบการ SME ที่ขึ้นทะเบียนฉลากรับรองตนเอง ผ่านระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทั้งนี้ หลังการประชุมหารือแล้วทั้งสองหน่วยงานจะสรุปรายงานการหารือดังกล่าว เพื่อนำเรียนเสนอผู้บริหารแต่ละฝ่ายพิจารณาให้ความเห็นต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วม MOU กับ 15 พันธมิตร รณรงค์ลดขยะอาหาร “Stop Food Waste Start the Future หยุดขยะอาหาร ต่ออนาคต”

               วันที่ 26 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 12 ของประเทศไทย (สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน) ซึ่งมี สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานงานกลาง (Focal Point) และหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 12 และได้รับความร่วมมือจากองค์กรภาคี 15 หน่วยงานเข้าร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนถึงจุดยืนของรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการลดขยะอาหาร และถือเป็นก้าวสำคัญในการนำพาประเทศเข้าสู่ทศวรรษแห่งการลงมือทำ อันนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับประชาคมโลก โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธาน พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนร่วมลงนาม โดยมี นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศ และเจ้าหน้าที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมงานดังกล่าว ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
               ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า “ปัญหาขยะอาหารไม่ใช่เพียงปัญหาระดับชาติ แต่เป็นวิกฤติระดับโลกที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและร่วมมืออย่างจริงจัง เพราะขยะอาหารส่งผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ การลดขยะอาหารไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งแต่คือการกิจร่วม จึงตั้งเป้าประกาศให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์การลดขยะอาหาร” วางรากฐานการขับเคลื่อนทั้งด้านการสื่อสาร รณรงค์ และนำร่องลดขยะอาหารอย่างเป็นรูปธรรมในองค์กรที่มีพลังต่อการปลุกกระแส หวังขยายผลสู่วิถีชีวิตของสังคมไทย สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในวงกว้าง พร้อมเชื่อมโยงอาหารส่วนเกินสู่การแบ่งปันในอนาคต”
               สำหรับการลงนามครั้งนี้มีองค์กรเข้าร่วมทั้งสิ้น 15 หน่วยงาน แบ่งเป็นภาคีองค์กรนำร่องผู้ปฏิบัติ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าซีคอน สยามพิวรรธน์ เซ็นทรัลพัฒนา เดอะมอลล์ เครือข่ายมหาวิทยาลัยยังยืนแห่งประเทศไทย และภาคีองค์กรนำร่องผู้สนับสนุน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สมาคมส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และ บริษัท ไทยยูธกรุ๊ป จำกัด ซึ่งทั้งหมดจะร่วมเป็นพลังสำคัญในการจุดประกายการมีส่วนร่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมนำไปสู่การลดขยะอาหาร เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมหารือเยอรมัน เดินหน้าความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

               เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานร่วมกับ Dr. Philipp Behrens, Head of Unit, International Climate Initiative, the Federal Ministry for Economic Affairs and Energy (BMWE) ในการประชุมเชิงนโยบายและคณะกรรมการกำกับโครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน (Policy Dialogue and Steering Committee Meeting on Thai – German Cooperation in a field of climate change, biodiversity, and environment) พร้อมด้วยนายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวัชรินทร์ บุญฤทธิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
               ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และพลังงาน โดย กรมลดโลกร้อน ได้แลกเปลี่ยนความก้าวหน้าของการจัดทำ NDC 3.0 การจัดทำพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผน NAP การมีส่วนร่วมของประเทศไทยใน Climate Club กรมลดโลกร้อน ได้แสดงความสนใจในการดำเนินงานด้านการปรับตัวฯ ภาคเกษตรที่ต้องมีผลประโยชน์ร่วม (co-benefit) กับการลดก๊าซเรือนกระจก การรับมือกับภัยพิบัติโดยใช้ Nature-based Solutions ในการแก้ปัญหาในภาคเมือง อุตสาหกรรมที่ลดก๊าซฯ ได้ยาก การสร้างความร่วมมือกับธนาคารต่าง ๆ รวมถึงหารือการดำเนินความร่วมมือระหว่างไทย-เยอรมัน ภายใต้แผนงานปกป้องสภาพภูมิอากาศระดับสากล (International Climate Initiative: IKI) พร้อมนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อประเด็นการเจรจาภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ที่สำคัญ อาทิ แผนงาน Baku to Belem Roadmap to 1.3T การกำหนดตัวชี้วัดของเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global Goal on Adaptation: GGA) การดำเนินงานของMitigation Work Programme และความสำคัญของความร่วมมือภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีส ทั้งนี้ ดร.พิรุณฯ ได้ขอบคุณการสนับสนุนจากรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และยินดีสร้างความร่วมมือทั้งสองฝ่ายเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเวทีเจรจา พิจารณาตัวชี้วัดแผนปรับตัวฯ ระดับโลก

               เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ดร. กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผอ.กองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้าร่วมการประชุมหารือรายละเอียดการดำเนินงานตามเป้าหมายการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
               ที่ประชุมได้พิจารณาคัดเลือกตัวชี้วัดตามเป้าหมายการปรับตัวฯ ระดับโลก ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนและไม่ทับซ้อนกับตัวชี้วัดด้านการลดก๊าซเรือนกระจก เว้นแต่จะเกิดผลประโยชน์ร่วม (co-benefit) อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดควรมีความครบถ้วนทั้งในเชิงมิติ เนื้อหา และเป้าหมาย นอกจากนี้ ภาคียังได้พิจารณาแผน Baku Adaptation Roadmap ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการร่วมกันยกระดับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีทิศทางที่ชัดเจน และนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งผู้แทนไทยจะได้ติดตามความก้าวหน้าการเจรจาในประเด็นดังกล่าวต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมหารือสวิส ขับเคลื่อนความร่วมมือลดโลกร้อนผ่านกลไกข้อ 6 ของความตกลงปารีส ต่อเนื่องหลังปี 2030

               เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับผู้แทนกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสมาพันธรัฐสวิส ในห้วงการประชุมองค์ย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
               ในการหารือดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายร่วมยินดีต่อความร่วมมือที่เกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาพันธรัฐสวิส พร้อมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ฝ่ายสวิสฯ ได้ดำเนินการในการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกครั้งที่สองต่อไป และได้หารือความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการความร่วมมือภายหลังปี ค.ศ. 2030 รวมถึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของการใช้กลไกข้อ 6 ของความตกลงปารีส ในการยกระดับศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน นำทีมไทยร่วมเวที FSV18 แลกเปลี่ยนงานด้านโลกร้อน พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศ

สาระสำคัญรายงาน BUR4 – พร้อมสร้างศักยภาพผ่านความร่วมมือและการสนับสนุนจากนานาประเทศ
โดย นายปวิช เกศววงศ์
รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
สามารถรับชมและรับฟังได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=H7kBLpfnsTw

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”