บทเรียน 12 ปี ฟาร์มลุงรีย์ Smart Farmer วิถีเศรษฐกิจหมุนเวียน

               ผู้สร้างจักรวาลไส้เดือนด้วย “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) และสามารถต่อยอดธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นที่ประจักษ์ บนพื้นที่ขนาดย่อมแค่ 2 งาน ในซอยเพชรเกษม 46 กรุงเทพฯ กระทั่งถูกยกให้เป็นฟาร์มเมอร์ตัวอย่าง ที่สามารถสร้างการเรียนรู้วิถี Smart farmer จนเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง
               ชารีย์ บุญญวินิจ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “ลุงรีย์” เปิดใจ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ถึงบทเรียน 12 ปี ที่เขาได้พัฒนาการทำเกษตรด้วยการรู้จักตัวตนและความต้องการที่แท้จริง กระทั่งสามารถเปิดร้านอาหารจนมีลูกค้าหลงไหลในรสชาติที่อบอวนไปด้วยความสุข
               ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของลุงรีย์มีทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไส้เดือน ควบคุมระบบน้ำด้วยไวไฟ กลายเป็น Digital farming บริหารจัดการฟาร์มผ่าน 4 เสาหลัก นั่นคือ1) จักรวาลไส้เดือน สร้างเครือข่ายคนมาร่วมพัฒนาสร้างสรรค์ดิน 2) การใช้นวัตกรรม ฟาร์มที่นำนวัตกรรมมาช่วยให้การทำเกษตรง่ายขึ้น 3) การผลิตองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งทำให้ฟาร์มแห่งนี้มีความสร้างสรรค์ และ 4) ความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นภาพลักษณ์และมาตรฐานของแบรนด์ฟาร์มลุงรีย์

เริ่มต้นจากทำเล็ก ๆ ทำให้น้อยที่สุด
               ลุงรีย์แนะว่า ถ้าคิดจะทำเกษตรอย่าเพิ่งทำใหญ่ ทำให้น้อยที่สุดก่อน แล้วดูจุดคุ้มทุนว่าอยู่ตรงไหน ใช้เวลาเท่านี้จะได้งานอะไร “มันครอป (ผลผลิตที่ได้) เมื่อไหร่ได้เงินเท่าไหร่ เหมือนทำบัญชีก่อนเลยว่าต้นทุนเท่าไหร่ต่อแบท (Batch-ต้นทุนต่อรอบการผลิตหรือเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์) แบทหนึ่ง 6 กระบะหรือ 4 กระบะ ถ้าเราหาจุดคุ้มทุนได้ตั้งแต่ต้น เราก็จะรู้ว่าโหนด (Node-แปลงหนึ่งหรือหน่วยหนึ่ง) หนึ่งเท่านี้บาท เช่น โหนดหนึ่ง 5,000 บาท ถ้าเราคูณสิบ ต้นทุนก็ 50,000 บาท จะทำให้เรารู้ว่าต่อแบทใช้เงินเท่านี้กำไรเท่านี้”
               แน่นอนว่าหลายคนที่คิดจะทำเกษตรมักอยากทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งปรับพื้นที่ ปลูกผัก เลี้ยงไก่โดยไม่รู้ว่าตัวเองถนัดทำอะไรหรือไม่ถนัดอะไร ต้องคิดว่าตัวเราชอบทำในสิ่งที่ถนัดแล้วไม่เห็นเงิน หรือทำในสิ่งที่ชอบน้อย แต่ได้เงินมาก จากนั้นมาวางแผนว่าอะไรเหมาะสมกับตัวเอง “เช่น ถนัดทำเยอะ ๆ แต่ขายถูก หรือเราถนัดทำน้อย ๆ แต่ขายแพง เราอยู่ตลาดไหน เราขายใคร มันต้องเห็นหน้าตาชัดหมด แล้วค่อยสเกล (ขยาย) แต่ส่วนใหญ่อยากทำพร้อมกันทั้งหมดแล้วไม่เห็นอะไรเลย บัญชีก็ไม่เห็น พอผลผลิตออกมาก็รับมือไม่ไหว ขายไม่ถูก แปรรูปไม่เป็น ตลาดอยู่ที่ไหน”
               ประเด็นที่ลุงรีย์ต้องการจะสื่อสารก็คือ การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเกษตรหรือการมีพื้นที่มากที่น้อย แต่อยู่ที่ว่าใครจะนำของเหลือส่วนเกินมาใช้อย่างไร ไม่ได้มีแค่มุม Waste (ขยะ) ดังนั้นนอกจากใจเย็น ๆ ต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า ตัวเราเองเป็นคนแบบไหน มีพื้นที่เท่าไหร่ กำลังเอาของไปขายใคร ทำยังไงให้ลดต้นทุน ไม่ใช่เห็นอื่นเขาทำอย่างนั้นแล้วอยากทำตาม

ลงมือทำแล้วต้อง “สื่อสาร”
               สิ่งที่ลุงรีย์ให้ความสำคัญมากก็คือ “การสื่อสาร” จะต้องเล่าในสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้เข้าใจ เริ่มตั้งแต่ลูกน้องว่า การไม่โยนขยะในร้านทิ้งลงถัง (ปัจจุบันลุงรีย์เปิดร้านอาหารชื่อ OmakaHed) คือการสร้างมูลเพิ่มจากขยะ ให้เข้าใจว่าขยะคือเงิน และเป็นจุดประสงค์ของการเปิดร้านแบบนี้
               นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องอธิบายให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารได้เข้าใจการนำวัตถุดิบมาใช้ อย่างเช่น เห็ดหรือต้นหอมที่นำมาประกอบอาหารมีการนำส่วนไหนมาใช้จนหมดโดยไม่เหลือทิ้ง ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่าร้านของเรามีความประณีต
               “ค่าของการประณีตมีค่าเสียเวลา และประหยัดต้นทุนเพราะใช้ของที่คุ้มค่ามากที่สุด สุดท้าย หนึ่งเราได้สร้างนิสัยของการใช้อย่างหมดจด สองเราฉลาด เราเรียบเรียงสเต็ปหนึ่งสองสามสี่ห้าหก ใช้อย่างหมดเกลี้ยง โอเคแบบนั้น (เดิม) มันเร็วที่สุด แต่คนที่วิ่งเร็วที่สุดในตอนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่รวยที่สุดก็ได้”

บทเรียนมีอยู่เสมอแต่ต้องปรับตัวตลอด
               ลุงรีย์ บอกว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่ได้บอกว่ามีความมั่นคงแล้ว แต่ที่รอดมาได้เพราะมีการปรับตัวมาตลอด วันนี้ฟาร์มอินทรีย์แห่งนี้ปรับตัวพร้อมสำหรับโควิด พร้อมสำหรับ PM2.5 พร้อมสำหรับ Climate change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) สิ่งที่ต้องปรับเพิ่มคือโซลูชัน หรือทางเลือกทางแก้ไขทางหนีทางรอด
               ที่มากกว่านั้นลุงรีย์บอกว่า ต้องรู้ว่าฤดูกาลไหนควรขายอะไร หน้าฝนคนอยู่บ้านอาจสั่งอาหารออนไลน์กิน ต้องดันคหกรรมหรืองานหัตถกรรมให้สูงขึ้น แต่หน้าหนาวคนอยากดูเกษตร ผักมันฟูมันสวย อยากพาลูกไปวิ่งเล่น อากาศดี อาจจะต้องดันเกษตรเพิ่ม ส่วนคหกรรมปลายปีมีแฟร์เต็มไปหมดอาจจะต้องลดลง
               “อันนี้เท่ากับเราสามารถกำคันเร่งได้ว่าตรงนี้ถ้ามันไปไม่ได้ ปรับตรงนี้เพิ่มขึ้น ปรับตัว ปรับแผนธุรกิจตลอดเวลา มันจึงอยู่รอด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นมา แล้วเราจะไปต่อในคุณค่าที่ตัวเองบอกว่าตัวเองดี แต่ไม่ได้ดูจังหวะ ไม่ได้ดูสังคม”
               เขาบอกว่าด้วยว่า ต้องรู้ว่า waste ที่เกิดขึ้นมีกี่แบบ waste ทั้งเวลา waste ทั้งคน waste ทั้งของ waste ทั้งขยะสะสม หรือ waste เรื่องค่าเช่า waste ค่าไฟ เราต้องรู้ว่า waste อะไร และอะไรจะเข้ามาแก้ไข หรือเปลี่ยนจากการนั่งทำออนไลน์เป็น Word of mouth เป็นปากต่อปาก เมื่อเน้นปากต่อปากแล้วก็ไม่ต้องทำออนไลน์
               หลักการของลุงรีย์ก็คือ ทำแล้วเกิดผลประโยชน์ ทำให้ทรัพยากรดีขึ้น ซึ่งเรื่องเงินชัดที่สุด ทำแล้วลูกน้องได้เงินเยอะขึ้น ได้จ้างงานเยอะขึ้น อาจจะได้เงินเท่าเดิมแต่เกิดประโยชน์กับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะสิ่งที่ทำนั้นทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรือทำแล้วไม่ได้เงิน ไม่ได้งาน แต่บรรยากาศในชีวิตดีขึ้น อากาศที่หายใจบริสุทธิ์ขึ้น รอบ ๆ ที่ทำอยู่เขียวขึ้น ขยะที่อยู่บริเวณบ้านน้อยลง จึงต้องบาลานซ์ให้ดีว่าจะเลือกขาไหน แต่โลกนี้ก็ไม่มีได้ทั้งสามอย่าง อาจจะต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือมีบางอย่าง แต่สุดท้ายมันตอบโจทย์เราหรือเปล่า

ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาและจัดการให้ลงตัว
               ลุงรีย์แนะว่า การจัดการขยะอาหารโดยใช้แมลงวันลาย ใช้ไส้เดือน ต้องรู้ว่าถ้าเป็นกุ๊กไก่จะใช้ข้าวก้นหม้อ เลี้ยงไส้เดือนใช้กากผลไม้ ถ้าเศษอาหารที่เละ ๆ ให้หนอนแมลงวันลาย ถ้าเอาข้าวทั้งหม้อไปเทให้ไส้เดือนกินมันเน่าบูด ร้อนตาย ถ้าเอากากผลไม้ไปโยนให้ไก่กิน…เหยียบเละ ถ้าใช้เครื่องมือผิดตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดประโยชน์
               “ที่ต้องมีหลายอย่าง ชอบอย่างละนิด ชอบได้ยินเสียงไก่มีลูกเล็ก เลี้ยงไส้เดือนเป็นจุดเริ่มต้นของดินที่ดี ได้ปุ๋ยใช้ เลี้ยงหนอนแมลงวันลายได้อาหารไก่กิน ก็ตอบโจทย์ตัวผม ไม่รบกวนเวลาผมมาก ทุกอย่างจบ มีรูทีน ลูปจบในหนึ่งเดือน ไก่ออกไข่ทุกวัน เห็นประโยชน์จะจะทุกวัน
               “พอปุ๋ยไส้เดือนเยอะลุงรีย์ขายปุ๋ยไม่ไหว ลุงรีย์อยากเพาะเห็ดก็เลยเกิดการเชื่อมโยงว่าไม่ต้องไปวิ่งขายปุ๋ยนะ ไม่ต้องไปวิ่งขายเห็ดนะ แต่ได้ดอกเห็ดคุณภาพสด ได้คุณภาพดีโดยที่ไม่ต้องเปิดแอร์เลี้ยง มันก็คุ้มทุนแหละ แต่มันเก็บได้ไม่นาน
               “ลุงรีย์ก็เลยทำเรื่องการ booking ทำให้รู้ว่าต้องปลูกผักเท่าไหร่ต่อเดือน แล้วคนก็จองเข้ามาจ่ายเงินเรียบร้อย 100% อีกเดือนค่อยมากินและก็ไม่ waste เพราะเรารู้ว่าต้องปลูกเห็ดประมาณ 80 กะบะ เพื่อต้อนรับลูกค้าประมาณ 80 คน…ไม่น่าต้องใช้พนักงานเยอะมาก มีการเตรียมงานได้ ทำเองได้ และรู้ว่าจะมีรายได้ชัดเจนต่อโต๊ะเท่าไหร่ นั่งกี่ชั่วโมง หารออกมาเป็นค่าตัวเรา ค่าไอเดียเรา ก็โอเคชัดเจน ถ้าอยากเพิ่มกว่านี้ก็คูณสอง…”
               นี่คือหลักคิดหลักบริหารของ ลุงรีย์ – ชารีย์ บุญญวินิจ ที่กลั่นการทำเกษตรอินทรีย์ออกมาเป็นความสำเร็จในช่วง 12 ปี

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทส. ครั้งที่ 6/2568

               ในวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 6/2568 ณ ห้องประชุม ชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมและรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ปัญหาอุปสรรคการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในภาพรวมของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งโครงการก่อสร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือผู้รับจ้างทิ้งงาน
               โดย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งรัด ติดตามการดำเนินงาน และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณรายจ่ายลงทุน ขอให้เร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างและผูกพันสัญญาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และการเบิกจ่ายให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานภาพรวมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ต้อนรับคณะภูฏาน แลกเปลี่ยนแนวทาง “Green Hotel” หนุนท่องเที่ยวยั่งยืน

               วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการภาคเอกชนราชอาณาจักรภูฏาน นำโดย Mr. Rinzin amtsho Chief Tourism Officer, Department of Tourism พร้อมคณะ และเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ณ ห้องประชุม 401 (บัวหลวง) ชั้น 4 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และสิ่งแวดล้อม โดยได้รับเกียรติจากนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการดูงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) ระหว่างประเทศไทย และราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในภาคบริการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน หารือความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับนิวซีแลนด์

               เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) หารือร่วมกับ Ms. Anna Broadhurst, Chief Climate Advisor, Ministry of Foreign Affairs and Trade of New Zealand พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
               ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการจัดทำบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Arrangement: MoA) ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทั้งสองประเทศ โดยได้แลกเปลี่ยนความสนใจที่จะนำไปพัฒนาเป็นแผนดำเนินงานภายหลังจากการจัดทำ MoA ทั้งในเรื่องของการพัฒนาแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนาและตรวจติดตามตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Goal on Adaptation) เทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture) รวมถึงการขับเคลื่อนกลไกคาร์บอนและการพัฒนาตลาดคาร์บอน ทั้งนี้ จะดำเนินการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจัดทำ MoA ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมเวที “Creating Sustainable City” สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว

               วันที่ 19 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วม Ted talk ในหัวข้อ ”ปฏิบัติการชุมชนคาร์บอนต่ำ Low carbon Community” ในเวทีเสวนา “Creating Sustainable City” สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว เปิดแนวคิด การสร้างเมืองแห่งความยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคน ให้กินดี อยู่ดี และมีชีวิตยืนยาว จัดขึ้นโดยอัมรินทร์ทีวี โดยมี ดร.อัษฎาพร ไกรพานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปาฐกฐาพิเศษ ในหัวข้อ “Equitable City for All : เมืองอยู่สบาย เข้าถึงง่าย ไร้ความเหลื่อมล้ำ” พร้อมด้วย ดร.รัตนมณี อ๋องสกุล ผู้จัดการโครงการอาวุโส แผนการพัฒนา สถานฑูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ร่วม Ted talk “บูรณาการธรรมชาติในการแก้ปัญหา เพื่อสร้างเมื่องยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังมีการเสวนา ในหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ “สร้างเมือง อยู่ดี ให้ อยู่รอด ปลอดภัย” และ“เมืองน่าอยู่ คนต้องอยู่ได้จริง” จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชนและองค์กร นักศึกษาและประชาชน ร่วมรับฟังกว่า 250 คน ณ ซี อาเซียน ออดิทอเรียม อาคารไซเบอร์เวิลด์ ทาวเวอร์
               ทั้งนี้ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ยกตัวอย่างถึงความสำคัญของการสร้าง “ชุมชนคาร์บอนต่ำ” พร้อมชี้ให้เห็นตัวอย่างในประเทศไทยที่พิสูจน์แล้วว่า ชุมชนคาร์บอนต่ำสามารถเกิดขึ้นได้จริง

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รมว.ทส. เปิด “โครงการอนุรักษ์ทะเลไทย” ตามแนวพระดำริเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ มุ่งสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน

               วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการอนุรักษ์ทะเลไทยตามแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” ณ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ จัดขึ้นโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และนักเรียนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน
               โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสนองพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นแนวปะการัง สัตว์ทะเลหายาก ตลอดจนสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมปกป้องระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการประมง การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม
               ภายในงานมีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคเอกชน ชมรม และอาสาสมัครที่มีบทบาทโดดเด่นในการอนุรักษ์ทะเลไทย ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการจากหลากหลายหน่วยงาน เพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการนี้เน้นย้ำความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น อาสาสมัคร และเยาวชน ในการร่วมกันดูแลทะเลไทยให้คงความอุดมสมบูรณ์สืบไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 1/2568

               วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะกรรมการตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมกรรณิการ์ – ราชาวดี (303 – 304) ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มีนายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นคณะกรรมการ และมีผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อกลั่นกรองผลงานของ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี 2568 ใน 2 สาขา 7 ด้านผลงาน ทั้งประเภทบุคคล และประเภทเครือข่าย ประกอบด้วย สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3 ด้านผลงาน ได้แก่ ด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ และพื้นที่สีเขียว ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ และด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และสาขาการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4 ด้านผลงาน ได้แก่ ด้านการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้านการจัดการไฟป่า หมอกควัน และการเผาในที่โล่ง ด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และด้านการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง รวมผลงานทั้งสิ้น จำนวน 135 ผลงาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบการกลั่นกรองผลงาน จำนวน 27 ผลงาน
               ทั้งนี้ คณะกรรมการตัดสินฯ จะได้ลงพื้นที่ประเมินผลงานเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินการคัดเลือก ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี 2568 ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

Climate Change A-Z Challenge | Food Security ความมั่นคงทางอาหาร

Food Security : ความมั่นคงทางอาหาร “อาหารบนจาน…ก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ! 🌏🍚 รู้จัก ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ กัน”

รู้หรือไม่? ว่า “ความมั่นคงทางอาหาร” ไม่ใช่แค่มีข้าวให้กินทุกวัน แต่หมายถึง…
               ● อาหารดีมีคุณภาพ: มีอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน
               ● มีอาหารเพียงพอทุกสถานการณ์: ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น เศรษฐกิจไม่ดี หรืออากาศแปรปรวน
4 สิ่งที่ทำให้เรา “มั่นคง” เรื่องอาหาร:
               1. มีอาหารให้เลือกหลากหลาย : ทั้งที่ผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ
               2. ทุกคนเข้าถึงได้: ไม่ว่ารวยหรือจน ก็ต้องมีสิทธิกินอาหารดีๆ ได้
               3. กินอย่างปลอดภัย: อาหารสะอาด ถูกสุขอนามัย ไม่เป็นอันตราย
               4. มีกินตลอดไป: แม้เกิดภัยแล้ง น้ำท่วม หรือวิกฤตโลกร้อน
ทำไมอากาศเปลี่ยน…อาหารก็เปลี่ยน?
               ● ถ้าฝนไม่ตก ปลูกข้าวได้ไหม?
               ● ถ้าน้ำท่วม พืชผักเสียหายหรือเปล่า?
               ● อากาศร้อนจัด สัตว์เลี้ยงจะอยู่สบายไหม?
“อากาศ” มีผลต่อ “อาหาร” โดยตรง! ทั้งปริมาณ คุณภาพ และราคา เราต้องช่วยกันดูแลโลก เพื่อให้อาหารบนจานของเรา “มั่นคง” ตลอดไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSM), Food Security (ความมั่นคงทางอาหาร)
– ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move : Moving Towards Sustainable Future), SDG Vocab | 04 – Food Security – ความมั่นคงทางอาหาร

DCCE เดินหน้าเวที UNFCCC ปี 2568 เน้นบทบาทไทยในเวทีโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์

               เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 – 26 มิถุนายน 2568 ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดย Mr. Simon Stiell เลขาธิการสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกลไกความร่วมมือพหุภาคี (Climate multilateralism) อย่างต่อเนื่องและชัดเจน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของความตกลงปารีสอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศสามารถสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้
               การประชุมครั้งนี้เน้นการเปลี่ยนจากแนวคิดนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และมีสาระสำคัญของการประชุม ประกอบด้วย การจัดทำตัวชี้วัดเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก กลไกสำหรับความสูญเสียและความเสียหาย แผนการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ผลกระทบที่เกิดจากการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลลัพธ์ของการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินการระดับโลก การพัฒนาและถ่ายโอนเทคโนโลยี และแผนงาน Baku to Belem Roadmap to 1.3T นอกจากนั้น ประเทศไทยได้เข้าร่วมนำเสนอรายละเอียดของรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 4 (BUR4) ในการประชุม The 18th Workshop of the Facilitative Sharing of Views (FSV) ในห้วงการประชุมองค์กรย่อยฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสริมสร้างความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลของประเทศ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบ E-Ticket ณ อช. หาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ย้ำรายได้คืนสู่การอนุรักษ์ – สวัสดิการเจ้าหน้าที่

               วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามความคืบหน้าและทดสอบระบบบริหารจัดการนักท่องเที่ยวผ่านระบบ E-Ticket พร้อมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมลงพื้นที่ฯ
               ดร. เฉลิมชัย รมว.ทส. เน้นย้ำว่า การนำระบบ E-Ticket มาใช้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการยกระดับการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาเงินรั่วไหล และการสวมสิทธิ์เข้าเที่ยวโดยไม่ชอบ “E-Ticket จึงไม่ใช่แค่ระบบจัดเก็บรายได้ แต่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างโปร่งใสและยั่งยืน โดยรายได้ที่จัดเก็บได้จะถูกนำกลับมาพัฒนาด้านสวัสดิการเจ้าหน้าที่ การบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
               ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายดำเนินการนำร่องระบบ E-Ticket ให้ครบใน 6 อุทยานแห่งชาติฝั่งอันดามัน ได้แก่ อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี อุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน อุทยานฯ อ่าวพังงา อุทยานฯ ธารโบกขรณี และอุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 และภายในปี 2572 จะขยายผลให้ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 156 แห่งทั่วประเทศ
               ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวเลือกซื้อตั๋วเข้าชมผ่านระบบ E-Ticket ได้ทั้งทาง Mobile Application และเว็บไซต์ พร้อมทั้งสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิด หรือการสวมสิทธิเข้าเที่ยวอุทยานฯ ได้ที่สายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”