4 มีนาคม วันปะการัง (Coral Day)

               วันปะการัง กำหนดขึ้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของปะการังที่ช่วยระบบนิเวศทางทะเลให้มีความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล โดยวันปะการังถูกกำหนดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 ที่เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น และได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยป้องกันแนวปะการังขึ้นในปี 2543 ที่เกาะชิระโฮะ เมืองอิชิกากิ จังหวัดโอกินาวา
               โดยปะการัง มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก เพราะสามารถเป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร ที่หลบภัย เป็นแหล่งอนุบาลสำหรับสัตว์น้ำอีกหลายชนิด และยังเป็นแหล่งศึกษาวิจัยค้นคว้าทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้สามารถส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ระดับที่เพิ่มขึ้นของน้ำทะเลนี้ ทำให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ได้รับผลกระทบทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพ โดยการเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวก็เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน เนื่องจากปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำ โดยอุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้นเพียง 2-3 องศาเซลเซียส สามารถส่งผลให้ปะการังตายได้
               ถ้าเราไม่เริ่มปรับพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้ ผลกระทบที่ตามมาสุดท้ายจะย้อนกลับมาสู่เรา เมื่อปะการังได้รับผลกระทบ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่พึ่งพาแนวปะการังก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทำให้เราสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดี รวมทั้งเศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายที่จะสูญหายไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
– โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช

3 มีนาคม วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก

               ประเทศไทย ได้เสนอต่อที่ประชุมให้วันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี เป็น “วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day)” โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบตามที่ประเทศไทยเสนอ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2516 ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาในวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 68 ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีมติให้การรับรองและประกาศให้วันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี เป็น “วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก” อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความตระหนักถึงความหลากหลายของสัตว์ป่าและพืชป่า อีกทั้งยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตเหล่านี้
               ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่ก็เผชิญกับปัญหาการคุกคามสัตว์ป่าและพืชป่า เช่น การล่าสัตว์ การค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย และในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมากอีกด้วย
               มาร่วมกันอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่าโลก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยคุกคามสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก รวมทั้ง หยุดล่า และค้าสัตว์ป่าพืชป่าผิดกฎหมาย เพื่อรักษาระบบนิเวศให้คงไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ ในตำแหน่งนักวิชาการสิ่งแวดล้อมปฏิบัติการ (วุฒิปริญญาตรี) ตำแหน่งนักวิชาการสิ่งแวดล้อมปฏิบัติการ (วุฒิปริญญาโท) ตำแหน่งนักวิชาการเผยแพร่ปฏิบัติการ ตำแหน่งนักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ ตำแหน่งนิติกรปฏิบัติการ และตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน

สาระสำคัญในสัญญา จ้างส่งเสริมการบริการร้านอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Restaurant)

จ้างผลิตและเผยแพร่คลิปรายงานความโปร่งใสรายสองปี ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

DCCE ร่วมงาน TikTok สานต่อความมุ่งมั่นในประเทศไทย

               วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2568) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้าร่วมงานแถลงข่าว “TikTok สานต่อความมุ่งมั่นในประเทศไทย ประกาศลงทุน 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
               ในปัจจุบันมีชาวไทยมากกว่า 50 ล้านคนใช้ TikTok เป็นประจำทุกเดือนเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ สร้างและต่อยอดธุรกิจ ตลอดจนสร้างการรับรู้ผ่านคอนเทนต์ที่หลากหลาย ดังนั้น TikTok จึงได้ประกาศการลงทุนล่าสุด 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3.05 แสนล้านบาท) สำหรับ Data Center Hosting ในประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (เริ่มปี พ.ศ. 2569-2573) การลงทุนนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมศักยภาพของแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการผู้ใช้ในประเทศไทย รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
               นอกจากนี้ TikTok ได้เผยถึงโครงการด้านการศึกษาที่วางเป้าหมายเสริมทักษะเชิงดิจิทัลที่ครอบคลุมทุกช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ พร้อมเริ่มดำเนินงานทั่วประเทศ อาทิ
               – โครงการสำหรับเยาวชน TikTok ร่วมมือกับมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday School Foundation) และกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดตัวโครงการ BMA Digital Learning Hub ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านดิจิทัลให้กับนักเรียนในชั้นระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้
               – พัฒนาหลักสูตรพลเมืองดิจิทัลและความรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ 6 แห่ง เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้เยาวชนเหล่านี้มีทักษะด้านดิจิทัลที่สำคัญสำหรับความต้องการของตลาดในอนาคต
               ทั้งนี้ TikTok จะดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลไทยและพันธมิตรทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาเทคโยโลยีและสนับสนุนผู้คน โดย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการสร้างการรับรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจของกรมฯ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริม เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ พัฒนาศักยภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รู้จัก Climate Risk Index ดัชนีชี้วัดประเทศเสี่ยงภาวะโลกร้อน

               ดัชนี CRI เป็นหนึ่งในดัชนีวัดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่มีการดำเนินการยาวนานที่สุด และจัดอันดับประเทศตามผลกระทบทางเศรษฐกิจและมนุษย์ โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจะอยู่ในอันดับสูงสุด CRI ใช้วิธีการประเมินผลย้อนหลัง โดยแสดงให้เห็นระดับผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงสองปีก่อนการเผยแพร่ดัชนี และในช่วง 30 ปีที่ผ่านมารายงานนี้ช่วยกำหนดบริบทของการอภิปรายและกระบวนการกำหนดนโยบายด้านสภาพอากาศในระดับนานาชาติ และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศใดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมากที่สุด (1)
               Climate Risk Index ไม่ได้เป็นเพียงการจัดอันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะในเวทีการประชุมโลกร้อน เช่น COP29 ซึ่งล่าสุดที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วได้ CRI จึงทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนภัยสำหรับประเทศต่าง ๆ ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องดำเนินมาตรการป้องกัน รวมถึงปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (1)
               รายงานดัชนีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศโลกฉบับแรกที่ออกในปี 2006 ระบุว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วน้อยที่สุดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ต่ำและรายได้ต่อหัวต่ำ เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุและภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งผลให้ประเทศเหล่านี้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในอัตราที่สูงมาก การวิเคราะห์พบว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางสังคม (4)
               ฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่างของประเทศที่เสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ การวิเคราะห์จากดัชนีความเสี่ยงแสดงให้เห็นว่าความเสียหายจากสภาพอากาศสุดขั้วนั้นมีผลกระทบต่อประเทศเหล่านี้ในเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม ทำให้การปรับตัวและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต (4)
               ในช่วงปี 1993-2022 มีการบันทึกเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,400 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 765,000 ราย และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์หลักที่สร้างผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ พายุ (35%) คลื่นความร้อน (30%) และอุทกภัย (27%) ซึ่งพายุเป็นสาเหตุที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากที่สุด โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 2.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 56% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคืออุทกภัยที่คิดเป็น 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 32% ของความเสียหายทั้งหมด (5)
               ในรายงาน Climate Risk Index 2025 ได้เผยรายชื่อ 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงในปี 2022 ได้แก่ ปากีสถาน เบลีซ อิตาลี กรีซ สเปน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย โปรตุเกส และบัลแกเรีย ตามลำดับ โดยปากีสถานได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,700 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ส่วนอิตาลีและกรีซเผชิญกับคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 40C และเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ (6)
               หากมองในระยะยาว ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงปี 1993-2022 สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ผิดปกติรุนแรง เช่น โดมินิกา ฮอนดูรัส เมียนมา และวานูอาตู และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น จีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งรายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สุดขั้วที่เคยเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นกลายเป็น “ความปกติใหม่” (1)
               ในส่วนของประเทศไทย รายงานฉบับล่าสุดระบุว่า ในปี 2022 ประเทศไทยมีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ อันดับ 72 ลดลงจาก อันดับ 34 ในปี 2019 และในดัชนีระยะยาว (1993-2022) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 ลดลงจากอันดับ 9 ในช่วงปี 2000-2019 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญความสูญเสียรุนแรงขึ้น (6) (7)
ย้อนกลับไปในอดีต ประเทศไทยเคยติด 10 อันดับแรกของประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในหลายช่วงเวลา เช่น
               – อันดับ 9 ในช่วงปี 1995-2014
               – อันดับ 10 ในช่วงปี 1998-2017
               – อันดับ 8 ในช่วงปี 1999-2018
               – อันดับ 9 ในช่วงปี 2000-2019
               อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีหลัง ๆ อันดับของไทยลดลง เนื่องจากมีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณค่าดัชนีให้ครอบคลุมช่วงเวลา 30 ปี แทนที่จะเป็น 20 ปีเหมือนเดิม (7)
               แม้ว่าไทยจะไม่ได้ติดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดอีกต่อไป แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ภัยแล้งที่กระทบต่อการเกษตร น้ำท่วมหนักในบางภูมิภาค และฝนที่ตกหนักผิดปกติ การปรับตัวและเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว (5)
               รายงาน Climate Risk Index 2025 ย้ำให้เห็นว่า ไม่มีประเทศใดรอดพ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้แต่ประเทศที่มีรายได้สูงก็ได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีรายได้น้อยและขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรับมือกลับได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด CRI ยังชี้ให้เห็นว่าการดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเพิ่มเงินทุนสนับสนุนให้กับประเทศกำลังพัฒนาเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศ (1)

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Clilmate Risk Index 2025, GERMANWATCH.
(2) Christoph Bals, Tagesspiegel Background
(3) About GermanWatch, GERMANWATCH.
(4) Global Climate Risk Index 2006 : Weather-Related Loss Events and Their Impacts on Countries in 2004 and in a Long-Term Comparison., Briefing Paper, GermanWatch.
(5) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, “กรมลดโลกร้อน เผยการจัดอันดับ Climate Risk Index 2025 ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจาก 9 ไปอันดับ 30”
(6) Climate Risk Index 2025 : Who suffers most from extreme weather events?, Climate Risk Index, GermanWatch.
(7) Global Climate Risk Index 2021 : Who suffer Most Extreme Weather Events? Weather-related Loss Events in 2019 and 2000 to 2019., GermanWatch.

ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างซ่อมแซมครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

ทส. จัดพิธีเปิดการอบรม “ปธส.” รุ่น 12 สร้างเครือข่ายผู้นำ ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ

               วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 12 (ปธส.12) สร้างเครือข่ายความร่วมมือ เสริมศักยภาพผู้นำ ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอาศและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้เข้าฝึกอบรมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม กว่า 90 คน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพฯ
               ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน (Public-Private-People Partnership) หรือ PPPP เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ความเท่าเทียมกันทางสังคม และการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมตั้งรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคภาวะโลกเดือด ซึ่งการเสริมสร้างขีดความสามารถไม่เพียงแต่การพัฒนาทักษะ ประสบการณ์และความรู้ในระดับบุคคลเท่านั้น ยังครอบคลุมถึงการกำหนดโครงสร้างภายใน ตลอดจนนโยบาย ขั้นตอนการดำเนินงานในระดับองค์กร และการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อระบบทางสังคม ผ่านกฎหมาย นโยบาย การใช้อำนาจและบรรทัดฐานทางสังคม รวมถึงการนำองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาและการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
               ดร.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยครอบคลุมการดำเนินงานใน 3 มิติ ได้แก่ 1) การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน: การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นทางเลือกที่สำคัญในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งมีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ช่วยลดแรงกดดันทางภาษีจากต่างประเทศ สำหรับสินค้าที่ก่อให้เกิดคาร์บอนสูง 2) การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่ห่วงโซ่สีเขียว: การสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงองค์ความรู้และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งวงจรผลิตภัณฑ์ เป็นทางออกสำคัญไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และ 3) การจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย: ผ่านกลไก กระบวนการ และองค์ประกอบในการดำเนินงานด้านสาธารณภัย เช่น การป้องกัน การลดผลกระทบ การเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ตลอดจนการบูรณะซ่อมแซมและพัฒนา และการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย เพื่อให้ประชาชน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีองค์ความรู้และทักษะในการรับมือกับภัยต่างๆได้
               “หลักสูตร ปธส. รุ่นที่ 12 เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและยุทธศาสตร์การบริหารจัดการสำหรับผู้บริหารให้ทันกับกระแสโลกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นการสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป”
ดร.เฉลิมชัย กล่าวทิ้งท้าย

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน เปิดเวทีปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 2 ยกระดับการรับมือวิกฤตโลกเดือด ด้วยกลไกทางการเงิน

               วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และบริษัท แอดเวนเทจ คอนซัลติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ครั้งที่ 2: การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์และทิศทางระดับโลก โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมหารือ ณ ห้องประชุมเพชรบุรี โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ
               ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของแผนแม่บทรับรองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 – 2593 ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานระยะยาวในการรับมือกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งยกระดับการดำเนินงานทั้งด้านการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการดำเนินงานในทุกภาคส่วน ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับแนวทางระดับโลก ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยกลไกทางการเงิน ประกอบกับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP 29) ณ สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดเป้าหมายทางการเงินใหม่ โดยให้ประเทศพัฒนาแล้วมีพันธกรณีในการระดมทุนไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2035 เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว โดยขับเคลื่อนผ่านกองทุนต่างๆ จึงทำให้การเข้าถึงเงินทุนเป็นประเด็นสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกประเทศ
               การปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนระหว่างประเทศและการออกแบบมาตรการสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เพื่อให้แผนแม่บทฯ ฉบับปรับปรุงนี้ สามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ และสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน
               ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทฯ มีกำหนดจัดขึ้นจำนวน 4 ครั้ง เพื่อหารือและรับฟังมุมมองเชิงลึกในแต่ละสาขาเฉพาะด้าน ได้แก่ ครั้งที่ 1 ด้านการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีส่วนร่วม จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2568 สำหรับวันนี้เป็นครั้งที่ 2 ด้านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการนำเสนอข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมประชุม เกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อริเริ่มการเงิน การวิเคราะห์ช่องว่างและความต้องการสำหรับมาตรการการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การนำเสนอเป้าหมายและข้อจำกัดด้านการเงินในการดำเนินการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างมิติทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมิติการมีส่วนร่วมทางสังคม และในช่วงเดือนมีนาคม 2568 จะมีการประชุมครั้งที่ 3 ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และครั้งที่ 4 การลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหลังจากนี้จะมีการสรุปการจัดทำแผนแม่บทฯ ในภาพรวมพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”