กรมลดโลกร้อน ร่วมงานแถลงข่าวและพิธีลงนามความร่วมมือ “การลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)”

               วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมงานแถลงข่าวและพิธีลงนามความร่วมมือ “การลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)” ซึ่งจัดโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในการผลักดันและส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา ในรูปแบบคาร์บอนนิวทรัลอีเวนต์ (Carbon Neutral Event) เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พร้อมจัดงานแถลงความร่วมมือ โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารทั้ง 2 กระทรวง และ นางสาวชรัญญา เพชรสุวรรณนาคะ นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 และ “Miss Climate Change” เข้าร่วม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมกิจกรรมงานวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ปี 68 ภายใต้แนวคิด “ธรรมะและธรรมชาติ”

               วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีฯ และนายวัฒน์ ทาบึงกาฬ เลขานุการกรม เข้าร่วมกิจกรรมงานวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ปี 68 ภายใต้แนวคิด “ธรรมะและธรรมชาติ” จัดขึ้นโดยกรมป่าไม้ ณ ราชบพิธสถิตธรรมสถาน คลอง 9 ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ผู้บริหาร ทส. และได้รับประทานพระเมตตาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคุณพระราชสุทธิธรรมาจารย์ และเจ้าคุณพระราชวรเมธาจารย์ เข้าร่วมพิธีเปิด พร้อมปลูกต้นไม้ภายในราชบพิธสถิตธรรมสถาน อาทิ ต้นมะริด ต้นจามจุรี และต้นราชพฤกษ์ ซึ่ง รมว.ทส. ได้ปลูกต้นไม้มะริด ต้นที่ 72 ล้าน ในโครงการ 72 ล้านต้น พลิกฟื้นผืนป่าเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
               ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทส. ได้กล่าวว่า การปลูกต้นไม้ ไม่ใช่แค่ “การลงมือปลูกต้นไม้” แต่เป็น “การปลูกจิตสำนึก” ให้กับคนทุกวัย ขอให้เริ่มด้วย “หนึ่งต้นไม้ หนึ่งมือปลูก หนึ่งใจรักษา” ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อสิ่งแวดล้อม ต่อการสืบทอดคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น และในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2568 ตรงกับวันที่ 11 พ.ค. และเป็นวันวิสาขบูชา ขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศ ร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างแผ่นดินไทยให้เขียวขจี โดยสามารถติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ฟรี ที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า ส่วนผลิตกล้าไม้ กรมป่าไม้ โทร. 02-561-4292-3 ต่อ 5551
               ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2532 กำหนดให้ “วันวิสาขบูชา” เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ซึ่งในปี พ.ศ. 2568 นี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กำหนดจัดกิจกรรมงานวันต้นไม้ประจำปีของชาติขึ้น ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ราชบพิธสถิตธรรมสถาน คลอง 9 จังหวัดปทุมธานี รวมถึงได้บูรณาการความร่วมมือระหว่าง “ธรรมะและธรรมชาติ” ที่เป็นการหลอมรวมพลังศรัทธาในศาสนาเข้ากับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการจัดที่มุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึก ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเยาวชน ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา ลดผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ปี 2025 สัญญาณอันตราย อุณหภูมิโลกจ่อทำลายสถิติเก่า

               สถานการณ์วิกฤตโลกร้อนยังคงทวีความรุนแรง อุณหภูมิโลกสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ซึ่งปกติจะนำมาซึ่งอุณหภูมิที่เย็นลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน กำลังอ่อนกำลังลงและเข้าสู่ภาวะเป็นกลาง แต่ความร้อนทั่วโลกกลับยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน (1)
               รายงานจากโครงการสังเกตการณ์โลกแห่งสหภาพยุโรป (Copernicus Climate Change Service) ระบุว่า เดือนมกราคม ปี 2025 เป็นเดือนมกราคมที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิพื้นผิวอากาศสูงกว่าระดับก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.75 องศาเซลเซียส สถานการณ์นี้ถือเป็นการต่อเนื่องของอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ตลอดสองปีที่ผ่านมา ที่น่ากังวลคือ อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในหลายภูมิภาคทั่วโลกยังคงสูงผิดปกติ (1)
               นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ว่า ภาวะอุณหภูมิสูงผิดปกติเช่นนี้จะบรรเทาลงภายหลังจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งมีความรุนแรงสูงสุดในเดือนมกราคม 2024 สิ้นสุดลง และเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะลานีญาซึ่งเป็นภาวะเย็นลง อย่างไรก็ตาม ความร้อนยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงสถิติเดิม ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องถกเถียงกันถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดอุณหภูมิที่สูงเกินความคาดหมาย นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เนื่องจากไม่พบผลกระทบจากการเย็นลง หรือการชะลอตัวของอุณหภูมิโลกตามที่คาดการณ์ไว้ (1)
               ยิ่งไปกว่านั้น อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2023 และ 2024 ได้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรก แม้ไม่ถือเป็นการข้ามเส้นขีดจำกัดตามความตกลงปารีสอย่างถาวร แต่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าขีดจำกัดดังกล่าวถูกทดสอบแล้ว นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อยก็เพิ่มความรุนแรงและความถี่ของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ฝนตกหนัก และภัยแล้ง (1)
               ขณะที่สถานการณ์ลานีญาสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2025 และมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนกลับเข้าสู่ภาวะ ENSO เป็นกลาง ซึ่งหมายความว่าทั้งเอลนีโญและลานีญาไม่ได้มีอิทธิพลอย่างชัดเจน แต่ผลกระทบจากความร้อนสะสมและความผันผวนของสภาพอากาศยังคงส่งผลกระทบไปทั่วโลก ภาวะเป็นกลางนี้คาดว่าจะต่อเนื่องไปตลอดช่วงฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่เอลนีโญหรือลานีญาจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยมีโอกาสที่ลานีญาจะเกิดขึ้นมากกว่าเอลนีโญ (2)
               มหาสมุทรมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพภูมิอากาศและเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน น้ำทะเลที่เย็นกว่าสามารถดูดซับความร้อนจากบรรยากาศได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิอากาศ มหาสมุทรยังเก็บกักความร้อนส่วนเกินประมาณ 90% จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการกระทำของมนุษย์ แต่ทว่าอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลสูงผิดปกติอย่างยิ่งในปี 2023 และ 2024 การตรวจวัดในเดือนมกราคม ปี 2025 ก็ยังคงสูงเป็นอันดับสองเท่าที่เคยมีมา เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงสงสัยว่าทำไมอุณหภูมิเหล่านั้นยังคงอบอุ่นอยู่มาก (1)
               ปี 2024 ได้สร้างสถิติความร้อนที่น่าตกใจ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงกว่าระดับก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.5 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศเตือนว่า หากไม่มีความพยายามอย่างจริงจังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนวโน้มความร้อนนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นศตวรรษ แม้ว่าการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกยังคงไม่ลดลง ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยโลกจะเกิน 2 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอนภายในปี 2100 หากแนวโน้มปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป (3)
               ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทวีปเอเชียเผชิญกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศมากมาย คลื่นความร้อนมีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้น โดยมีผู้เสียชีวิตจากความร้อนในเอเชียคิดเป็น 45% ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากความร้อนทั่วโลก อุทกภัยและพายุไต้ฝุ่นยังสร้างความเสียหายอย่างหนัก ทวีปยุโรปก็เผชิญกับภาวะที่ร้อนขึ้นเร็วกว่าทวีปอื่น ๆ โดยปี 2024 มีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา ในขณะที่ภัยแล้ง และไฟป่าทวีความรุนแรงขึ้น (3)
               ทวีปแอฟริกาก็เผชิญกับความร้อนจัดและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและบริการ ที่สำคัญภัยพิบัติทางสภาพอากาศเหล่านี้มักนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำ ฝั่งละตินอเมริกาเผชิญกับพายุเฮอริเคน ภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่าที่รุนแรงและถี่ขึ้น ภูมิภาคตะวันออกกลางกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนภูมิภาคอาร์กติกอุณหภูมิสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสามเท่า ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและประชากรพื้นเมือง (4)
               รายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยืนยันว่า ปี 2024 เป็นปีที่อุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.55 ± 0.13 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปีที่มีการบันทึก ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงที่สุดในรอบ 800,000 ปี ระดับน้ำทะเลสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกด้วยดาวเทียม และการละลายของธารน้ำแข็งก็รวดเร็วเป็นประวัติการณ์ เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในปี 2024 ยังทำให้เกิดการพลัดถิ่นของผู้คนมากที่สุดในรอบ 16 ปี (4)
               ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2025 นี้เอง ในช่วงปลายเดือนเมษายนหลายพื้นที่ในซีกโลกเหนือคาดว่า จะเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดกว่าปกติ โดยพื้นที่ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกาอาจมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย 6-8 องศาเซลเซียส ยุโรปตะวันตก รวมถึงสหราชอาณาจักรก็อาจเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนที่สุดของปี โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 25-28 องศาเซลเซียส ขณะที่ปากีสถานและบางส่วนของอินเดียกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรง โดยอุณหภูมิอาจสูงถึง 48-49 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่ ทางการได้ออกคำเตือนให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากความร้อน (5)
               ผลพวงจากความร้อนที่รุนแรงขึ้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ภาวะเครียดจากความร้อนเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ และสามารถทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นได้ จำนวนผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (6)
               ภายใต้สถานการณ์สภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่ไม่เหมือนเดิมโดยเฉพาะในบ้านเราที่อากาศร้อนมากขึ้น การป้องกันตนเองจากความร้อนของทุกคนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้งในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ดื่มน้ำให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และอยู่ในสถานที่ที่เย็นสบาย การดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง (6)
               วิกฤตโลกร้อนในปี 2025 ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และเกิดผลกระทบขึ้นทั่วโลกเป็นปรากฎการร์ที่ไม่อาจมองข้ามได้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วน..ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Hottest January on record mystifies climate scientists, The Guardian.
(2) April 2025 ENSO update : La Niña has ended, The outlook for the rest of 2025, Climate.gov : Science & Information for a Climate-Smart Nation.
(3) The Earth Experienced Another Year of Record Warming. The Climate Fallout Was Intense, Council on Foreign Relations.
(4) WMO report documents spiralling weather and climate impacts., World Meteorological organization.
(5) Weather tracker : early summer heat likely in US and western Europe., The Guardian.
(6) Heat and Helath, World Helth Organization.

แรงงานกับโลกร้อน : ความท้าทายใหม่ในวันแรงงาน

               วันแรงงาน (Labour Day) ตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันที่ยกย่องและเรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานทั่วโลก “แรงงาน” กับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เป็นเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความปลอดภัยและสุขภาพของแรงงานในทุกภูมิภาคของโลกแล้ว จากข้อมูลปี 2020 ILO ประเมินว่าแรงงานมากกว่า 2.4 พันล้านคน (จากกำลังแรงงานโลก 3.4 พันล้านคน) มีแนวโน้มต้องเผชิญกับความร้อนเกิน ขณะทำงานอย่างน้อยในบางช่วงเวลา และเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของแรงงานโลก พบว่าสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 65.5% เป็น 70.9% ตั้งแต่ปี 2000
               นอกจากความร้อนสูงจัดแล้ว ยังมีปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกมากมาย เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว มลพิษทางอากาศ โรคที่มีแมลงเป็นพาหะนำโรค และสารเคมีทางการเกษตร ที่ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่จำเป็นต้องทำงานกลางแจ้ง ใม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บ โรคลมแดดและอ่อนเพลียจากความร้อน โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
               นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลต่อการสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงของงาน (Job Loss and Transition) โดยภายในปี 2030 คาดว่าชั่วโมงการทำงานทั้งหมดอาจสูญเสียไปถึง 3.8% เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ ศัตรูพาหะนำโรค น้ำท่วม และไฟป่า ก็จะส่งผลกระทบต่อแรงงาน และทำให้เกิดการสูญเสียงานด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการสร้าง “งานสีเขียว” (Green Jobs) ขึ้นมาใหม่ เช่น งานด้านพลังงานหมุนเวียนและงานด้านฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานยั่งยืนระดับโลก
               ดังนั้น ในยุคที่เราทุกคนต้องเผชิญกับวิกฤตโลกเดือดนี้ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงถือเป็นความท้าทายใหม่ของแรงงานในยุคโลกเดือดที่ต้องเตรียมพร้อมตั้งรับ ปรับตัว ในขณะเดียวกันทุกคนต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดโลกเดือด เพื่ออนาคตของประชากรทุกคนบนโลก

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– International Labour Organization (ILO), OSH and Climate Change, Climate change creates a ‘cocktail’ of serious health hazards for 70 per cent of the world’s workers.
– World Economic Forum, CLIMATE ACTION, 3 ways the climate crisis is impacting jobs and workers.
– ThaiPublica ไทยพับลิก้า : กล้าพูดความจริง, รายงาน ILO ชี้ Climate Change อัตรายต่อสุขภาพคนงาน ต้องทบทวนกฎหมายเดิม-ออกกฎใหม่คุ้มครอง

“กรมลดโลกร้อน” สร้างความตระหนัก “ปัญหาขยะอาหาร ความท้าทายพลิกโลกสู่ Net Zero” ผ่านนิตยสาร Sawasdee พร้อมร่วมงานเปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ “การบินไทย”

               เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้าร่วมงาน The New Worlds of Tomorrow ของสายการบิน Thai Airways ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี โดยเน้นการยกระดับการเดินทางในทุกมิติ และนำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางใหม่ของการบินไทย พร้อมนำเสนอโฉมใหม่ของนิตยสาร “Sawasdee” สื่อที่อยู่คู่สายการบินไทยมาอย่างยาวนาน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้อ่านยุคใหม่ได้มากยิ่งขึ้น ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งกรมฯ ได้สื่อสารสร้างความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยการเผยแพร่ประเด็น “ปัญหาขยะอาหาร ความท้าทายพลิกโลกสู่ Net Zero” (Food waste crisis : challenge to shift the world towards Net Zero) ผ่านนิตยสาร “Sawasdee” ของการบินไทย ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในฉบับเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ระดับผลกระทบต่อสุขภาพจากดัชนีความร้อน

               ดัชนีความร้อน (Heat index) คำนวณได้จากอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ เป็นดัชนีที่บ่งบอกถึง “อุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกได้ ณ ขณะนั้น (Feel like)” ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับบ่งชี้ความเสี่ยงที่ร่างกายได้รับผลกระทบจากความร้อนมากกว่าการใช้ค่าอุณหภูมิสูงสุดเพียงตัวแปรเดียว โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ ทั้งนี้ แต่ละระดับนั้นจะกล่าวถึงโรค อาการ/การเจ็บป่วยจากความร้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยเริ่มจากรุนแรงน้อยไปสู่รุนแรงมากและอาจร้ายแรงจนก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้ รวมทั้งข้อควรปฏิบัติที่เหมาะสมในแต่ละระดับ  ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงอากาศร้อนจัด

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ฝุ่นพิษวิกฤต PM2.5 ความท้าทายยุคโลกรวน

               ประเทศไทยยังคงเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกปี โดยช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ทั้งช่วงเวลาของการเกิดปัญหาและระดับความรุนแรงของ PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่และพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่ง PM2.5 ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่สุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศอีกด้วย (1)
               ปัญหาฝุ่น PM2.5 มักจะทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) และฤดูร้อน (มีนาคม-เมษายน) เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งและลมสงบในสองช่วงฤดูนี้ ทำให้ฝุ่น PM2.5 สะสมอยู่ในอากาศมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่จะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยรวม อันเนื่องมาจากทัศนียภาพที่ไม่แจ่มใส และข้อกังวลด้านสุขภาพ (1)
               สาเหตุหลักของการเกิดฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยนั้นมาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการเผาป่า การการเผาในที่โล่งหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร การเผาขยะ ที่ถือเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ในการก่อให้เกิดมลพิษอากาศ นอกจากนี้ ระบบขนส่งในเขตเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่นก็เป็นอีกแหล่งกำเนิดสำคัญของฝุ่น PM2.5 (1) รถยนต์ดีเซลก็ถูกระบุให้เป็นตัวการสำคัญในการปล่อยมลพิษทางอากาศอีกด้วย (5)
               อีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามคือ ภาคอุตสาหกรรมโดยโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งยังคงปล่อยมลพิษทางอากาศ และเป็นหนึ่งในอีกสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM2.5 ยิ่งไปกว่านั้นสภาพอากาศที่แห้งและลมสงบยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฝุ่น PM2.5 สะสมอยู่ในอากาศมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เมื่อทำงานร่วมกัน จึงทำให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายในการแก้ไขอย่างยิ่ง (1)
               แม้สถานการณ์ PM2.5 จะยังคงน่ากังวล แต่ภาครัฐก็มีความพยายามแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินมาตรการแก้ไขหลายอย่าง เช่น การควบคุมการเผาในที่โล่ง การปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในการร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ให้สำเร็จลุล่วง (1)
               แม้ว่าภาพรวมของประเทศในปี 2567 ปริมาณฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงจะลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตของปีก่อนหน้า แต่ในบางพื้นที่ เช่น ภาคตะวันตก กลับมีจำนวนวันที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 211 และในช่วงเวลาใกล้เคียงนี้ คาดการณ์ว่าฝุ่นละอองจะเริ่มสูงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (2)
               รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และเตรียมรับมือสถานการณ์อย่างเข้มข้น พร้อมสื่อสารอย่างรวดเร็วในทุกระดับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำ “มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568” ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มาตรการนี้จะขับเคลื่อนผ่านกลไกการบริหารจัดการ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับภาคหรือข้ามเขต และระดับจังหวัด (2)
               มาตรการดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่ระยะเตรียมการ เช่น การจัดทำแผนที่เสี่ยงการเผา และแผนปฏิบัติการจัดการไฟป่า ไปจนถึงการจัดการไฟในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ รวมถึงการจัดการไฟในพื้นที่เกษตร โดยมีการควบคุมการเผาและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต นอกจากนี้ ยังมีมาตรการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง เช่น การจำกัดการเข้าเมืองของรถบรรทุกขนาดใหญ่ในช่วงวิกฤต การสนับสนุนการใช้ขนส่งสาธารณะ และการตรวจจับรถยนต์ควันดำ (2)
               ในส่วนของการจัดการหมอกควันข้ามแดน รัฐบาลจะส่งเสริมการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรแบบไม่เผา และหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายที่จะลดพื้นที่เผาไหม้ในพื้นที่ป่าร้อยละ 25 และลดการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรและพืชเป้าหมายร้อยละ 10 – 30 รวมถึงควบคุมฝุ่นจากยานพาหนะและโรงงานในพื้นที่เมืองอย่างเข้มงวด เป้าหมายโดยรวมคือการลดค่าเฉลี่ย PM2.5 ลงร้อยละ 5 – 15 และลดจำนวนวันที่ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานลงร้อยละ 5 – 10 (2)
               กรมควบคุมมลพิษให้ข้อมูลว่า ปกติแล้วค่า PM2.5 จะสูงในช่วงการเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูร้อน แม้ว่าการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ อาจจะเท่าเดิม แต่สภาพอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝุ่นละอองไม่กระจายตัวและเกิดการสะสมของมลพิษ เช่น ความเร็วลม กระแสลม และการเกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน (3)
               ในฤดูหนาวนั้นสภาพความกดอากาศสูง โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน ทำให้พื้นดินคายความร้อนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อากาศที่อยู่เหนือพื้นดินเย็นตามไปด้วย อากาศที่เคยร้อนลอยขึ้นไปคั่นอยู่ระหว่างชั้นอากาศเย็น ซึ่งเรียกว่า ปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน (Temperature inversion) ปรากฏการณ์นี้ทำให้อากาศไม่สามารถลอยตัวขึ้นในแนวดิ่งได้ เหมือนมีฝาชีหรือโดมครอบไว้ จึงเกิดการสะสมของฝุ่นละอองในบรรยากาศ ประกอบกับลมสงบและการไหลเวียนถ่ายเทอากาศไม่ดี ทำให้ฝุ่นละออง หมอก และควัน สะสมในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น (3)
               สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานครในปี 2568 ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น แม้ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ชาวกรุงเทพฯ จะสูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ลดลงจากปีก่อนหน้า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และ 2568 พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในช่วงต้นเดือนมกราคม กลับพุ่งสูงขึ้นในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (4)
               ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2568 ประเทศไทยเผชิญกับอากาศหนาวเย็นมากกว่าปกติ เนื่องจากมวลอากาศเย็นจัดจากจีนแผ่ปกคลุม ทำให้เกิดลักษณะคล้ายฝาชีครอบ ฝุ่นพิษจึงถูกกักไว้ในชั้นบรรยากาศ ไม่สามารถกระจายออกไปได้ ค่าฝุ่นจึงพุ่งสูงจนเกินมาตรฐาน (4)
               สำหรับต้นกำเนิดฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ นั้นส่วนใหญ่มาจากการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล ตามมาด้วยการเผาในที่โล่ง และมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือ ปริมาณฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มิใช่ฝุ่นที่เกิดขึ้นในพื้นที่โดยตรง แต่เป็นมลพิษที่ถูกพัดพามาจากนอกพื้นที่ (4)
               เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในระยะยาว คณะกรรมการควบคุมมลพิษ (กก.คพ.) ยังได้ให้ความเห็นชอบมาตรฐานควบคุมการระบายมลพิษทางด้านอากาศที่เข้มข้นขึ้น ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี มาตรฐานใหม่นี้ รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถจักรยานยนต์ใหม่ให้เทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และไนโตรเจนออกไซด์ รวมถึงควบคุมฝุ่นละอองและไฮโดรคาร์บอนที่ไม่ใช่มีเทน โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2572 นอกจากนี้ ยังมีการปรับเกณฑ์มาตรฐานควันดำจากรถยนต์ดีเซลให้เข้มงวดขึ้น จากเดิมไม่เกินร้อยละ 30 เป็นไม่เกินร้อยละ 20 (5)
               หลายประเทศทั่วโลกก็เผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศเช่นเดียวกับประเทศไทย และได้มีการนำโมเดลการจัดการที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ จีนเป็นตัวอย่างที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำด้านการจัดการคุณภาพอากาศ โดยธนาคารโลกได้ร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการนำโมเดล GAIN มาใช้ในเขตสามเหลี่ยม “จิงจินจี่” ซึ่งช่วยลดความเข้มข้นเฉลี่ยต่อปีของฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของประสิทธิผลเทียบต้นทุน (6)
               เวียดนามเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลกในการวิเคราะห์แหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ในกรุงฮานอย และพัฒนาโมเดลคุณภาพอากาศ โดยใช้การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของประสิทธิผลเทียบต้นทุนในการกำหนดข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ข้อค้นพบที่สำคัญคือ PM2.5 ในฮานอยมีแหล่งกำเนิดจากภายนอกเมืองถึงสองในสาม ทำให้ต้องทำงานร่วมกับจังหวัดข้างเคียง และประเทศเพื่อนบ้าน (6)
               กรุงอัมสเตอร์ดัมในประเทศเนเธอร์แลนด์ใช้ “แผนปฏิบัติการฟ้าใส” โดยมุ่งเน้นไปที่แหล่งกำเนิดมลพิษที่เทศบาลนครสามารถควบคุมได้ เช่น การจราจร และมีการให้เงินอุดหนุนและส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งกำหนดเขตปลอดมลพิษ ส่วนลอนดอนในสหราชอาณาจักรได้กำหนดเขตพื้นที่การปล่อยมลพิษต่ำขั้นสุด (Ultra Low Emission Zone) และคิดค่าธรรมเนียมกับยานพาหนะที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งช่วยลดมลพิษได้อย่างมาก ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมีมาตรการที่ชัดเจน การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหา PM2.5 (6)
               สำหรับประชาชนทั่วไป การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือเดินทางด้วยจักรยานหรือเดินเท้ามากขึ้น การประหยัดพลังงานและการปลูกต้นไม้ก็เป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ (1)
               อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นความท้าทายในยุคโลกรวนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้แหล่งที่อยู่อาศัยและการใช้ชีวิตในทุกพื้นที่ของประเทศมีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ และประชาชนมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) กรมประชาสัมพันธ์ : PRD (The Government Public Relations Departmnet), สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย
(2) กรมควบคุมมลพิษ (Pollution Control Department), “คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล และเตรียมการรับมือ ในปี 2568”
(3) โครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC : Government Cotact Center), กรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยฤดูหนาว ทำไมฝุ่นสูง
(4) ThaiHealth Resource Center : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ปี 2568 ฝุ่น PM 2.5 คลุมเมือง วิกฤตมลพิษอากาศของคนกรุง
(5) กรมควบคุมมลพิษ (Pollution Control Department), กก.คพ. ให้ความเห็นชอบมาตรฐานการระบายมลพิษเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 – ควบคุมน้ำเสีย ที่เข้มขึ้น
(6) Thai PBS, Policy Watch : จับตาอนาคตประเทศไทย, เปิดโมเดลแก้ PM 2.5 จากต่างชาติ “ได้ผล-ยั่งยืน”

7 วิธีป้องกัน Heat Stroke ง่าย ๆ ในช่วงหน้าร้อน

               สภาพอากาศรุนแรง (Extreme Weather Events) ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักของโลก โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนเป็นประวัติการณ์นี้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรจำนวนมาก เราทุกคนสามารถป้องกันภัยจากความร้อนได้ง่าย ๆ ด้วย 7 วิธี ดังต่อไปนี้
               1. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 💧
               2. หากเล่นกีฬาเป็นเวลานาน ให้ดื่มน้ำและเกลือแร่เพื่อทดแทนร่างกายที่สูญเสียน้ำ ⛹️‍♂️
               3. หลีกเลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดด หรือออกกำลังกายในที่บริเวณอากาศร้อนจนเกินไป 🧗‍♀️
               4. สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่งบาง เบา ระบายความร้อนได้ และป้องกันแสงแดดได้
               5. สวมหมวกหรือกางร่มเมื่ออยู่กลางแจ้ง 👨🏼‍🌾☂️
               6. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะเพิ่มการขับน้ำทางปัสสาวะ ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากขึ้น 🍻
               7. ไม่อยู่ในรถที่จอดตากแดดไว้กลางแดด เพราะอุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 🚘

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM (สายด่วนนิรภัย 1784)

รับสมัครลูกจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นักวิชาการเงินและบัญชี 1 ตำแหน่ง (สำนักงานเลขานุการกรม) อัตราเงินเดือน 15,000 บาท ระยะเวลารับสมัครตั้งแต่ 25 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2568

กรมลดโลกร้อน เปิดตัว “SAVE THE EARTH GAME” ปลุกพลังคนรุ่นใหม่ สู้วิกฤตโลกเดือด

               วันที่ 22 เมษายน 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดกิจกรรม “SAVE THE EARTH GAME” บอร์ดเกมพิชิตโลกเดือด เสริมสร้างกระบวนการคิด วิเคราะห์ วางแผนแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้แก่คนรุ่นใหม่ โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมฯ วิทยากร และมีผู้เข้าร่วมอบรมที่ผ่านการคัดเลือก 27 ทีม รวม 60 คน เข้าร่วมพิธีเปิด ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สภาพอากาศรุนแรง (Extreme Weather Events) ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักของโลก โดยเป็นอันดับที่ 2 ของความเสี่ยงในปี 2025 และอันดับ 1 ของความเสี่ยงระยะยาวในปี 2035 สะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในทศวรรษหน้า ซึ่งเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศอย่างหนัก ทั้งการเกิดคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในเอเชีย การเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในบางพื้นที่ รวมถึงน้ำท่วมครั้งใหญ่จากฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของระบบโลก (Critical Change to Earth Systems) ก็กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอัตราการละลายของธารน้ำแข็งที่เพิ่มสูงขึ้นและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์เหล่านี้กำลังส่งผลให้เมืองชายฝั่งหลายแห่งทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงจากภาวะน้ำท่วมถาวร จึงอยากขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญกับการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำลังส่งกระทบรุนแรงและใกล้ตัวพวกเรามากขึ้นในทุกขณะ ประกอบกับวันนี้เป็นวันสำคัญทางสิ่งแวดล้อมอีกวันหนึ่ง ได้แก่ “วันคุ้มครองโลก” (Earth Day) ที่ตรงกับวันที่ 22 เมษายนของทุกปี โดยในปี 2025 นี้ ทั่วโลกได้ร่วมกันรณรงค์ ภายใต้แนวคิด “พลังของเรา โลกของเรา: Our Power, Our Planet” ซึ่งกิจกรรม “SAVE THE EARTH GAME” บอร์ดเกมพิชิตโลกเดือด นับว่าเป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจ และสร้างกระแสสังคมให้เข้าถึงประชน โดยเฉพาะเยาวชนครุ่นใหม่ได้ โดยเกมที่ชนะการประกวดในครั้งนี้ กรมลดโลกร้อน จะนำไปพัฒนาเป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดและนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป
               สำหรับ การจัดกิจกรรม “SAVE THE EARTH GAME” บอร์ดเกมพิชิตโลกเดือด มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมซึ่งจะสามารถพัฒนากระบวนการคิด และนำมาปรับใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย เสริมสร้างกระบวนการในการคิด วิเคราะห์ และวางแผนในการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยกำหนดให้มีการอบรมสร้างความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างบอร์ดเกม ระหว่างวันที่ 22 – 23 และ 29 เมษายน 2568 ให้แก่ผู้เข้าร่วมอบรมที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 27 ทีม รวม 60 คน และจะมีการตัดสินผลงาน ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ซึ่งการประกวดในครั้งนี้ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 25,000 บาท พร้อมโล่รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และ รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล มูลค่า 5,000 บาท รวมมูลค่าเงินรางวัลกว่า 100,000 บาท

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”