กรมลดโลกร้อน ร่วมเปิดงาน The Nova Expo 2025 ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสีเขียวปฏิวัติโลก” (Green innovation Revolution)

               เมื่อวันพุธที่ 12 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน The Nova Expo 2025 มหกรรมการแสดงนวัตกรรมอาคารและความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างความสุขและความปลอดภัยของชีวิต เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีและโลกที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสีเขียวปฏิวัติโลก” (Green innovation Revolution) พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ความท้าทายและโอกาสของธุรกิจไทยจาก พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา กรุงเทพฯ
               ทั้งนี้ กรมฯ ได้นำเสนอถึงความสำคัญและความเร่งด่วนของการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก และปัจจุบันอยู่ระหว่างการผลักดันให้มี พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเตรียมการจัดส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับใหม่ หรือ NDC 3.0 ที่มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น พร้อมกับแผนการลงทุนสีเขียว นอกจากนี้ยังมี Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ที่ขยายความครอบคลุมไปยัง ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ และภาคเศรษฐกิจอื่นที่สำคัญ ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย ซึ่งการขับเคลื่อนนวัตกรรมสีเขียวและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง งาน The Nova Expo 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 นี้ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ ในการออกแบบและก่อสร้างอาคารและเมือง ผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมกันส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน นำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่เป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ทส. กางแผนรับมือฝุ่น PM2.5 ลดกระทบประชาชน-การท่องเที่ยว

               ฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดขึ้นในทุกปี กลายเป็นวิกฤตสภาพอากาศที่สร้างผลกระทบรุนแรง ทำให้บางจังหวัดของประเทศไทย อย่างเช่น กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศแย่ติดอันดับท็อป 10 ของโลก จากข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ของ IQAir ณ วันที่ 7 มีนาคม 2568 เชียงใหม่ ติดอันดับ 1 เมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก ในขณะที่ก่อนนี้ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดอันดับ 9 ของโลก (ข้อมูลอันดับดัชนีคุณภาพอากาศ AQI เป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์อันดับจึงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา) (1) (2)
               รายงานของธนาคารโลก ปี 2565 ระบุว่า ฝุ่น PM2.5 ทำให้คนไทยผู้เสียชีวิตจากมลพิษในอากาศก่อนวัยอันควรมากถึง 50,000 ราย เป็นวิกฤตที่เกิดต่อเนื่องมาหลายปี และดูจะยังไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน ในขณะที่ภาพใหญ่ของปัญหามลพิษอากาศโลกประเมินว่า ประชากรโลกกว่า 80% ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงจากฝุ่น PM2.5 โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 6.1% ของ GDP โลก (4)
               ทั้งนี้ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ซึ่งติดอันดับเมืองอันตรายจากฝุ่นพิษถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของไทย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย จำนวน 37.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.6% จากปี 2567 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีมูลค่า 1.78 ล้านล้านบาท เติบโต 6.5% จากปี 2567 โดยอัตราชะลอลงกว่าปี 2567 ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ, พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป และอื่น ๆ โดยรายได้การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 80% อยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลัก 3 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี (3)
               จากการประเมินความเสียหายหรือผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 เฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ประมาณ 3,000-6,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะจากค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวจากการสูดมลพิษ โดยที่การท่องเที่ยวเป็นธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะผลกระทบจากการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว เช่น ภาคเหนือ และภาคอื่น ๆ ที่มีปัญหา PM2.5 สูง อีกทั้งมลพิษอากาศยังสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีความกังวล และจะไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวในระยะถัดไปด้วย หากปัญหาฝุ่น PM2.5 ในไทยยืดเยื้อจะสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 5,500-10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งแน่นอนว่าความสูญเสียนี้ส่วนหนึ่งเป็นรายได้จากการท่องเที่ยว (4)
               นอกจากนี้จากการศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในแต่ละช่วงระยะเวลาพบว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม หากดัชนีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ยรายเดือน จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร ลดลง จำนวน 106,060 คน และจำนวน 659,368 คน ตามลำดับ และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เสียโอกาสจากนักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 476.27 ล้านบาท และกรุงเทพมหานคร 4,105.13 ล้านบาท (5)
               อย่างไรก็ดี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อธิบายผ่านการตอบกระทู้ถามด่วนด้วยวาจาแทนนายกรัฐมนตรี เรื่อง ฝุ่นพิษส่งผลต่อพื้นฐานชีวิตประชาชนในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ให้ความสำคัญและยกระดับการทำงานเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการดำเนินงานในเชิงรุก มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ที่มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ พร้อมทั้งได้จัดตั้งคณะทำงานในระดับศูนย์ปฏิบัติการ อีก 3 ระดับ คือ 1) ระดับชาติ 2) ระดับภาค กรณีปัญหาฝุ่นเป็นการข้ามเขตป่าหรือเขตปกครอง และ 3) ระดับจังหวัด (7)
               นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ได้มีการประชุมซักซ้อมการป้องกันและรับมือปัญหาไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ประจำปี 2568 พร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังควบคุมไฟป่า และหมอกควันภาคเหนือ เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ได้มีการประชุมร่วมกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และกรุงเทพมหานคร ตำรวจนครบาล ตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก เพื่อวางมาตรการแนวทางการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (7)
               สำหรับมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 รัฐบาลได้มีมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นได้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยเร่งด่วน เช่น จัดให้มี Work from Home ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า – ค่ารถเมล์ ปฏิบัติการฝนเทียม ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด รวมถึงการจัดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับรับแจ้งเหตุการเผา การกวดขันรถควันดำ และพื้นที่ก่อสร้างที่ไม่คลุมผ้าป้องกันฝุ่นตามกฎหมายโดยเคร่งครัด เป็นต้น (7)
มาตรการในระยะยาว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดูแลรับผิดชอบในส่วนของพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ได้มีการวางมาตรการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายลดการเผาไหม้ในพื้นที่ป่าให้ได้ 25% จากปี 2567 (7)
               ในขณะที่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมสโมสรยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุว่าปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายองค์กรต่าง ๆ และความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน (10)
               ทั้งนี้ เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่นละอองบรรเทาเบาบางลง โดยขอความร่วมมือภาคเอกชนในการช่วยอุดหนุนเกษตรกรให้เปลี่ยนผลผลิต เช่น นำซังข้าวโพดมาแปรรูปหรือใช้ทำเป็นพลังงาน โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหามาตรการจูงใจเกษตรกรให้ทำการเกษตรปลอดการเผา มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหา และให้กรมวิชาการเกษตร สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรถึงผลดีผลเสียของการเผาและไม่เผา รวมถึงการนำผลผลิตไปแปรรูปใช้ประโยชน์ทดแทนการเผาเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มกับเกษตรกร (10)
               มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาระบบตรวจจับฝุ่นควันและระบบแจ้งเตือนประชาชน สำหรับเรื่องสุขภาพให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งประชาชนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้ชัดเจน ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เตรียมความพร้อม เฝ้าระวัง รับมือ และกำหนดกรอบการดำเนินงานในพื้นที่ป่าให้ชัดเจนเมื่อมีแนวโน้มที่จะเกิดการเผาไหม้ ในพื้นที่อุทยานต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มความระมัดระวังในการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย พร้อมเน้นย้ำให้บูรณาการความร่วมมือการทำงานในทุกภาคส่วน เพื่อการแก้ไขปัญหาและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ (9)
               ถัดมาที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568 – 2570) และระยะ 5 ปีต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐาน โดยขับเคลื่อนผ่าน 5 มาตรการหลัก ดังนี้ (8)
               1. การกำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษ (Low Emission Zone) ค่าธรรมเนียมการใช้ถนน การกำหนดให้การผลิตปล่อยมลพิษต่ำ
               2. การจัดทำผังเมืองและการก่อสร้างโดยคำนึงถึงการระบายอากาศและการสะสมมลพิษ
               3. การจัดทำแผนจัดการป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ และป่าชุมชนเพื่ออากาศสะอาด
               4. การปรับโครงสร้างการผลิตพืชลดความเสี่ยงการเผา และการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับควบคุมการเผา
               5. การกำหนดแนวทางลด/ระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา
               นอกจากนี้ยังมีแนวคิดการพัฒนาระบบบริหารจัดการมลพิษทางอากาศแบบบูรณาการ โดยการป้องกัน ลด และควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด เพื่อให้บุคคล ชุมชน และประชาชนมีสิทธิในอากาศสะอาด มุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคเมือง พร้อมสร้างเครื่องมือ กลไก เทคโนโลยี กฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการจูงใจ มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ และการบังคับใช้กฎหมาย ครอบคลุมพื้นที่เมือง พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และมลพิษข้ามแดน (8)
               ทั้งหมดนี้สอดคล้องและรองรับ พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด โดยมีเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้ค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และพื้นที่เผาไหม้ (Burnt scar) ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (9)
               ทั้งนี้ มาตรการที่ที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2567 ที่มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ปี 2568 ไว้ 5 มาตรการ ประกอบด้วย ดังนี้ (11)
               1. ให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิทินการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568
               2. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง ไปยังสำนักงบประมาณเป็นการเร่งด่วนเพื่อให้ทันต่อการดำเนินงานรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นในช่วง ม.ค. – พ.ค. 2568
               3. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการ 14 กลุ่มป่าเป้าหมาย เพื่อบัญชาการ เฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่าและหมอกควันแบบไร้รอยต่อเขตป่าหรือเขตปกครอง และบูรณาการความร่วมมือของชุมชนรอบป่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทหาร เน้นความปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
               4. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 กรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ปัญหาในเขตเมือง
               5. แต่งตั้งคณะทำงานสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อเน้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง สร้างความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวด้วย

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) กรุงเทพธุรกิจ, กรุงเทพฯ อันดับ 9 อากาศมีมลพิษมากที่สุดในโลก PM2.5 สูงกว่าเกณฑ์ 14.5 เท่า
(2) อีจัน, แทบสิ้นใจ! “เชียงใหม่” ฝุ่นพิษพุ่ง TOP 1 ของโลก
(3) ธนาคารกสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, ต่างชาติเที่ยวไทยปี 2568 คาดแตะ 37.5 ล้านคน โตชะลอที่ 5.6% สร้ายรายได้ 1.78 ล้านล้านบาท
(4) The Standard : Stand Up for The People, เจาะลึกปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 ภัยร้ายที่กำลังทำลายเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่คิด
(5) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMUDC), ผลกระทบของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในจังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร
(6) Thailand Can, สังคมและเศรษฐกิจไทย…เจ็บแค่ไหนจากฝุ่น PM2.5
(7) สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, “รมว.ทส. เฉลิมชัย” ตอบกระทู้ สว. ย้ำ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัยความเข้มงวด และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในพื้นที่ป่า – พื้นที่เกษตร – เมือง
(8) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, “รองนายก ประเสริฐ” แก้ปัญหา PM2.5 ผลักดันแผนแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับ 2 เร่งบังคับใช้ 2568 เป็นต้นไป
(9) Thai PBS, บอร์ดสิ่งแวดล้อมเคาะแผนแก้ฝุ่น ฉ.2 เตือน กทม. PM2.5 สีส้ม 6-9 ก.พ.
(10) สำนักรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, “เฉลิมชัย” รับ “นายกฯ แพทองธาร” มอบนโยบายแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน PM2.5 ปี ’68’ พร้อมสร้างขวัญกำลังใจกำลังพลร่วม เร่งสร้างอากาศสะอาด เพื่อคนไทยทุกคน
(11) กรุงเทพธุรกิจ, รัฐฯ ลุย 5 มาตรการ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ปี 2568 ควบคุมฝุ่นในเมือง ไฟป่า หมอกควัน

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาเกษตร ภายใต้ NDC 3.0 ของประเทศไทย

               เมื่อวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาเกษตร โดยมีนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยนายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย หัวหน้าหน่วยวิจัยด้านพลังงานที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงหน่วยงานรับผิดชอบหลัก (Sectoral focal point) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 14 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกรรณิการ์-ราชาวดี (303 – 304) ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               การประชุมในครั้งนี้มุ่งเน้นการหารือเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในสาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาเกษตร ให้มีความชัดเจนและสะท้อนการดำเนินงานที่เป็นไปได้ในอนาคต ที่ประชุมร่วมกันให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อการกำหนดสัดส่วนปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานเองภายในประเทศ (Unconditional target) และการได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศเพิ่มเติม (Conditional target) ภายใต้ค่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) เพื่อเร่งการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจก และยกระดับให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมครั้งนี้ไปพิจารณาและใช้เป็นข้อมูลประกอบการประชุมหารือระดับภาพรวมของทุกสาขา ในวันที่ 20 มีนาคม 2568 และจะดำเนินการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) ของประเทศไทย ในวันที่ 27 มีนาคม 2568 ต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สาขาของเสีย ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0)

               เมื่อวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดประชุมหารือการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สาขาของเสีย โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีฯ นายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย หัวหน้าหน่วยวิจัยด้านพลังงานที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงหน่วยงานรับผิดชอบหลัก (Sectoral focal point) เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกรรณิการ์-ราชาวดี (303 – 304) ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
               การประชุมในครั้งนี้มุ่งเน้นการหารือเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในสาขาของเสียให้มีความชัดเจนและสะท้อนการดำเนินงานที่เป็นไปได้ในอนาคต ที่ประชุมร่วมกันให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อการกำหนดสัดส่วนปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานเองภายในประเทศ (Unconditional target) และการได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศเพิ่มเติม (Conditional target) ภายใต้ค่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) ของสาขาของเสีย เพื่อเร่งการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจก และยกระดับให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมครั้งนี้ไปพิจารณาและใช้เป็นข้อมูลประกอบการประชุมหารือระดับภาพรวมของทุกสาขาต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ถึงเวลาปฏิรูประบบอาหาร กุญแจดอกสำคัญต่อสู้โลกเดือด

               โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ประชากรบางกลุ่มขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการ ในปี 2566 จำนวนคนที่เผชิญความไม่มั่นคงด้านอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 345 ล้านคนใน 79 ประเทศ จาก 135 ล้านคนใน 53 ประเทศก่อนเกิดโรคระบาด ขณะนี้หลายคนต้องทนทุกข์จากภาวะทุพโภชนาการซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากวิกฤตนี้ไม่ได้รับการแก้ไข (1)
               ในปัจจุบันประชากรโลกมีมากถึง 7,900 ล้านคน และคาดว่าในปี 2593 ประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านคน การผลิตอาหารในรูปแบบปัจจุบันยังเน้นการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชสำหรับอาหาร ซึ่งต้องใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เทียบได้กับขนาดพื้นที่ของประเทศไทย 12 ประเทศ นี่คือเหตุผลที่ต้องปฏิรูประบบอาหารเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตอาหารให้เกิดความยั่งยืน และสามารถรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต (2)
               วิกฤตอาหารเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และราคาอาหารที่สูงขึ้น โดยวิกฤตปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครนและการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ราคาอาหาร เชื้อเพลิง และปุ๋ยพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ ไฟไหม้ และน้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในหลายภูมิภาค (1)
               ปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรง ในขณะที่อาหารกว่าหนึ่งในสามของการผลิตทั่วโลกต้องสูญเปล่า หรือคิดเป็นปริมาณมหาศาลถึง 1,300 ล้านตันต่อปี ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นในทุกประเภทอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม อาหารทะเล หรือธัญพืช โดยบางส่วนเสียหายตั้งแต่ยังอยู่ในฟาร์ม บางส่วนเน่าเสียระหว่างขนส่ง และอีกจำนวนมากถูกทิ้งจากโรงแรม ร้านอาหาร และครัวเรือน ปัญหานี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศในวงกว้าง (3)
               การผลิตอาหารต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ทั้งพลังงานและน้ำ ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การขนส่ง ไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาหารเน่าเสียและไปจบในหลุมฝังกลบยังปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ การลดขยะอาหารเพียงอย่างเดียวสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึง 6-8% ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว การผลิตอาหารที่สูญเปล่าก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมูลค่าเทียบเท่ากับรถยนต์ 32.6 ล้านคัน (3)
               ระบบอาหารของโลกตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภค มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงหนึ่งในสาม โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด ในขณะที่สหประชาชาติได้ประกาศว่า พันธกรณีระดับโลกในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C (4)
               การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอาหารในระดับสูง การลดการบริโภคอาหารที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง เช่น เนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนม สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 29% (4)
               นอกจากนี้ การควบคุมการบริโภคมากเกินไปในภูมิภาคที่ไม่มีปัญหาความมั่นคงทางอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการพัฒนา “หลักการออกแบบทางเลือก” (Choice Architecture) ที่ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ผู้คนเลือกทำสิ่งที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและการรณรงค์ให้ข้อมูล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะอาหาร และการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ (4)
               อีกหนึ่งวิธีคือ การเปลี่ยนไปพึ่งแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืนและสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากพืชควบคู่กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในระดับที่พอเหมาะ กระแส Flexitarian (คำที่ผสมระหว่าง Flexible และ Vegetarian คือการรับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นหลัก) จึงเกิดขึ้น โดยเน้นการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนจากพืชสูงขึ้น โดยไม่ตัดสินใจเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ตอบสนองต่อการเข้าใจ “เขตจำกัดของโลก” หรือ “Planetary Boundaries” และความสำคัญของการรักษาสุขภาพในระยะยาว (Healthspan) (2)
               การเปลี่ยนแปลงในการบริโภคอาหารดังกล่าวจะช่วยลดภาระทางสุขภาพ โดยมีการคาดการณ์ว่าหากมนุษย์หันมาบริโภคตามไกด์ไลน์ที่เหมาะสม จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง 1.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยลดปัญหาของโรคไม่ติดต่อและภาระทางการแพทย์ในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ (2)
               นอกจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อสุขภาพและความยั่งยืนแล้ว การปรับวิธีการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเช่นกัน โดยเฉพาะการจัดการปศุสัตว์แบบใหม่ เช่น การเปลี่ยนสูตรอาหารสัตว์ การเพิ่มอาหารเสริม และการปรับปรุงพันธุ์อย่างมีเป้าหมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการหมักในลำไส้ของสัตว์ นอกจากนี้ การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ถ่านชีวภาพ (ไบโอชาร์) ก็ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และกักเก็บคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4)
               อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการแนะนำคือ การเพาะปลูกแบบไม่ไถพรวนดิน (No-till Farming) ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในดิน โดยการขุดหลุมหยอดเมล็ดแทนการไถพรวน การไม่ไถดินช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ประหยัดต้นทุนเครื่องจักร และลดมลพิษจากการใช้เชื้อเพลิงดีเซล แม้ว่าผลผลิตจะลดลงในช่วงแรก แต่ดินที่ไม่ถูกรบกวนจะช่วยเพิ่มการเติบโตของพืชในระยะยาว ซึ่งวิธีนี้สามารถ +ลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% (5)
               การประชุมนวัตกรรมการเกษตรและอาหารโลก 2024 (WAFI 2024) ที่กรุงปักกิ่ง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมในการพัฒนาระบบการเกษตรที่ยืดหยุ่นและรับมือกับความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ โดยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น เกษตรกรรมอัจฉริยะ การผสมพันธุ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ยั่งยืน (6)
               ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วจากวิกฤตโลกเดือด เช่น ความแห้งแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อน ย้อนกลับมาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลผลิตทางการเกษตร ปศุสัตว์ และการประมง นำไปสู่การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานอาหารและราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น การแก้ปัญหาต้องอาศัยมาตรการเร่งด่วน เช่น การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การลดภาษีการนำเข้าอาหาร ควบคู่ไปกับนวัตกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การจัดการขยะอาหารและการสูญเสียตลอดห่วงโซ่การผลิตก็เป็นส่วนสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (1)
               ในประเทศไทย ภาคเกษตรกรรมเผชิญความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เอลนีโญ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรมูลค่ากว่า 2.85 ล้านล้านบาท หากไม่ได้รับการแก้ไข ภาคใต้และภาคตะวันออกเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2588 ส่งผลต่อการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก เพื่อรับมือกับปัญหานี้จำเป็นต้องสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิต การให้ความรู้เพื่อลดผลกระทบ การเลือกปลูกพืชที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำ และการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพผลผลิต (1)
               การปฏิรูประบบอาหารไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะช่วยรักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงอาจดูเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้บริโภค ไปจนถึงภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ ด้วยการผสมผสานนวัตกรรมทางการเกษตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการปฏิรูประบบอาหารที่สามารถสร้างยั่งยืน ล้วนมีความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีสำหรับทุกคน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) iGreen, ภาวะโลกร้อนเขย่าวิกฤตอาหารโลก ผลผลิตลด คนหิวโหย อันตรายถึงชีวิต
(2) iGreen, ปลุกกระแส ‘ปฏิรูประบบอาหาร’ ลดก๊าซมีเทนรับมือ Climate Change
(3) Fight climate change by preventing food waste., WWF.
(4) The food system is a vital part of the climate solution., Global Food Security : The UK cross-government programme on food security.
(5) SDG Move : Moving Towards Sustainable Future., วิธีการเพาะปลูกแบไม่ไถพรวนดิน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มปริมาณคาร์บอนที่เก็บในดิน
(6) China Focus : Chinese, foreign experts call for agricultural sci-tech innovation to combat climate change., XinhuaNet.

ข้อมูลสาระสำคัญในสัญญา (ใบสั่งจ้าง สลก.36/2568) จ้างดำเนินการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลฯ (มหาวิทยาลัยรังสิต) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างมหาวิทยาลัยรังสิตดำเนินการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการและดำเนินการสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการทั่วไป โดยวิธีเฉพาะเจาะจง

กรมลดโลกร้อน เปิดเวทีปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ยกระดับมาตรการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation)

               วันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และบริษัท แอดเวนเทจ คอนซัลติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ครั้งที่ 3 : การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) ยกระดับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และทิศทางระดับโลก โดยมี นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมหารือ ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพฯ
               การหารือในครั้งนี้ มีการนำเสนอข้อมูลการทบทวนเป้าหมาย นโยบายด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยและในระดับสากล และแนวทางมาตรการ กลไกด้านการปรับตัวฯ ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และแผนในระดับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมประชุม เกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงร่างมาตรการและกลไกด้านการปรับตัวฯ และการมีส่วนร่วมทางสังคม เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางการดำเนินงานสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือการปรับปรุงแผนแม่บทฯ จะมีกำหนดจัดขึ้นครั้งต่อไป ครั้งที่ 4 ประเด็นด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ซึ่งหลังจากนี้จะมีการสรุปการจัดทำแผนแม่บทฯ ในภาพรวมพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

เดนมาร์กรักษ์โลกไม่รู้จักเบื่อ เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน พลิกเมืองสู่ความยั่งยืน

               ในยุคที่ขยะล้นเมืองและปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องใหญ่ทั่วโลก กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก สามารถหาวิธีการจัดการขยะได้อย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตรกับทั้งคนและโลก เมืองนี้ไม่ได้มองว่าขยะคือภาระ แต่เป็นทรัพยากรที่สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานสะอาดได้ และยังสร้างความสนุกสนานให้กับผู้คนในเวลาเดียวกัน (1)
               เป้าหมายใหญ่ของโคเปนเฮเกนคือ การเป็นเมืองปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568) ซึ่งนั่นทำให้ “CopenHill” (โคเปนฮิลล์) หรือ “Amager Bakke” โรงงานผลิตพลังงานจากขยะที่ใหญ่ที่สุดและสะอาดที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง กลายเป็นหัวใจสำคัญของแผนการนี้ (1)
               CopenHill ไม่ใช่แค่โรงเผาขยะธรรมดา แต่มีนวัตกรรมสุดล้ำ เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองให้มาสัมผัสความสนุกสนานแบบยั่งยืน ภายในโรงงานมีเนินสกีเทียมที่เล่นได้ตลอดทั้งปี เส้นทางวิ่ง และผนังปีนผาที่สูงที่สุดในโลกถึง 100 เมตร นอกจากนี้ยังปลูกต้นไม้บนดาดฟ้า เปลี่ยนโรงงานที่ดูออกจะน่าเบื่อให้กลายเป็นจุดเช็กอินสุดคูล การออกแบบนี้มาจากแนวคิด “Hedonistic Sustainability” หรือการผสมผสานความสุขกับความยั่งยืน เพราะ Bjarke Ingels สถาปนิกผู้ออกแบบเชื่อว่า ความยั่งยืนไม่จำเป็นต้องน่าเบื่ออีกต่อไป (1)
               ในแง่การทำงาน CopenHill คือโรงงานเผาขยะที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถเผาขยะได้ถึง 485,000 ตันในทุก ๆ ปี และเปลี่ยนพลังงานจากขยะเหล่านี้ให้กลายเป็นไฟฟ้าป้อนครัวเรือนได้กว่า 30,000 ครัวเรือน และความร้อนที่ส่งตรงถึงบ้านเรือนกว่า 72,000 ครัวเรือน สิ่งที่น่าทึ่งกว่าก็คือไม่มีสารพิษหรือมลพิษเล็ดลอดออกมาจากปล่องโรงงาน มีเพียงไอน้ำสะอาดที่ลอยออกไปในอากาศเท่านั้น (1)
               หนึ่งในจุดเด่นของ CopenHill คือการเชื่อมโยงระบบผลิตพลังงานกับระบบทำความร้อนเขตพื้นที่ (District Heating System) ที่ครอบคลุมทั้งเมืองโคเปนเฮเกน ขณะที่ก๊าซไอเสียจากการเผาขยะถูกทำให้เย็นลงโดยใช้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน พลังงานความร้อนที่เหลือจึงถูกส่งตรงไปยังบ้านเรือนในเมืองถึง 99% ทำให้เดนมาร์กสามารถลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในฤดูหนาวลงได้อย่างมาก (1)
               การสร้างโรงงานในพื้นที่ใกล้ชุมชนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โคเปนเฮเกนสามารถรับมือได้อย่างชาญฉลาด โดย CopenHill ถูกออกแบบให้กลมกลืนกับวิถีชีวิตของผู้คน ด้วยพื้นที่สันทนาการบนดาดฟ้า เช่น ลานสกีและสวนสาธารณะ ซึ่งไม่เพียงลดความขัดแย้ง แต่ยังทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอย่างแท้จริง ตั้งแต่การจัดการเศษอาหารไปจนถึงขยะอันตราย ก่อนนำเข้าสู่ระบบการเผาที่สามารถนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2)
               CopenHill ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการคัดแยกขยะที่เข้มงวดตั้งแต่แหล่งกำเนิด ก่อนนำเข้าสู่ระบบการเผาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบ DynaGrate® ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ลดมลพิษ และกู้โลหะจากขยะเพื่อรีไซเคิลได้อย่างคุ้มค่า โดยในปี 2020 CopenHill สามารถเปลี่ยนขยะจำนวน 599,000 ตันให้กลายเป็นพลังงานความร้อนและไฟฟ้า ซึ่ง 23% ของขยะทั้งหมดมาจากเชื้อเพลิงขยะที่ถูกเผา ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ (2)
               อีกทั้งเทคโนโลยีทำความสะอาดก๊าซไอเสียยังช่วยลดสารตกค้างที่เป็นของแข็งถึง 45% และสามารถกู้น้ำคืนได้ 100 ล้านลิตรต่อปี รวมทั้งยังสามารถนำขี้เถ้าจากการเผา 100,000 ตัน มาใช้เป็นวัสดุในการทำถนนได้อีกด้วย (1)(2)
               โรงงานแห่งนี้ไม่ได้จำกัดการจัดการขยะเฉพาะในเดนมาร์ก แต่ยังรับขยะจากประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น สหราชอาณาจักร ที่มีปัญหาหลุมฝังกลบล้น ขยะเหล่านั้นถูกนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย CopenHill สามารถเผาขยะได้เฉลี่ยถึง 560,000 ตันต่อปี และยังมีแผนติดตั้งระบบดักจับคาร์บอนที่คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นการยกระดับความยั่งยืนไปอีกขั้น (3)
               อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเดนมาร์กไม่ได้อยู่แค่โรงงานเผาขยะ เรื่องเล็ก ๆ อย่างการลดการใช้พลาสติกก็เป็นจุดที่ทำให้คนทั้งโลกต้องยกนิ้วให้ ตั้งแต่ปี 1993 เดนมาร์กได้ออกกฎหมายเก็บภาษีถุงพลาสติก ทำให้ปัจจุบันคนเดนมาร์กใช้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งเพียง 4 ใบต่อปี และใช้ถุงซ้ำมากขึ้นอย่างน่าประทับใจ การรีไซเคิลขวดและกระป๋องก็เป็นอีกเรื่องที่คนเดนมาร์กทำจนเป็นนิสัย ด้วยระบบคืนเงินที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการลดขยะ (4)
               โพลสำรวจในปี 2017 พบว่า ชาวเดนมาร์กกว่า 68% สนับสนุนแนวทางการรีไซเคิลพลาสติกและมองว่าเป็นเรื่องดี โครงการนำถุงพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำของซุปเปอร์มาร์เก็ตยังสร้างความสำเร็จจนประเทศอื่น ๆ ต้องทำตาม ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างของการสร้างสรรค์ที่ทำให้เดนมาร์กเป็นผู้นำด้านการลดขยะ (4)
               CopenHill จึงไม่ได้เป็นเพียงโรงงานเผาขยะธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการจัดการเมืองที่มองไปข้างหน้า โคเปนเฮเกนแสดงให้โลกเห็นว่า การจัดการขยะสามารถกลายเป็นโอกาสในการสร้างพลังงาน สร้างความสนุก และเชื่อมโยงชุมชนเข้าด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง เดนมาร์กจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกเมืองทั่วโลกมุ่งสู่ความยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยรู้สึกเบื่อ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) National Geographic, Sustainability, โคเปนเฮเกน (Copenhagen) เมืองที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากโรงเผาขยะที่สะอาดและสนุกที่สุดในโลก, โคเปนเฮเกน เส้นทางสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2025 ด้วยการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และ CopenHill โรงงานผลิตพลังงานจากขยะที่ปลอดมลพิษที่สุดในโลก
(2) Waste-to-Energy and Social Acceptance : Copenhill WtE plant in Copenhagen., IEA Bioenergy : Task 36, IEA Bioenergy : Technology Collaboration Programme.
(3) Amager Bakke : A Look into the Future of Waste Incineration., Business & Environment, Harvard Business School.
(4) National Geographic, Sustainability, ชีวิตคนเดนมาร์กใช้พลาสติกน้อยมาก พวกเขาทำได้อย่างไร?, ชีวิตคนเดนมาร์ก ใช้พลาสติกน้อยมาก พวกเขาทำได้อย่างไร?

ทส. ร่วม ก.พ. จัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2568 ขานรับนโยบายรัฐบาล พร้อมสนับสนุนทุกหน่วยงานขับเคลื่อนประเทศไทย ด้วยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

               วันนี้ (10 มีนาคม 2568) เวลา 11.30 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ให้การต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมฯ และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อรับมอบนโยบายสำคัญจากนายกรัฐมนตรี
               โดย นายจตุพร ปลัด ทส. ได้กล่าวขอบคุณทุกส่วนราชการที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามภารกิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ที่ผ่านมาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งการปรับปรุงอัตรากำลังและโครงสร้างของหน่วยงานในกระทรวงฯ การผลักดันกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนงบประมาณโครงการตามเป้าหมายภารกิจของ ทส. ทุนการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงร่วมผลักดันการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญต่าง ๆ อาทิ การจับกุมดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งการจัดการขยะมูลฝอย ปัญหามลพิษ และการจัดการน้ำเสีย โดย ทส. ได้เตรียมพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานต่อไป ทั้งการจัดทำแผนที่ธรณีพิบัติภัย แผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินถล่ม ข้อมูลการแจ้งเตือนภัยพิบัติ การเร่งรัดการอนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 รวมถึงการสนับสนุนการจัดหาน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนให้พื้นที่ขาดแคลน การสนับสนุนกล้าไม้ให้กับประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานต่อไป
               ทั้งนี้ มีประเด็นที่ ทส. ขอความร่วมมือจากทุกส่วนราชการเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน อาทิ การร่วมผลักดันเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะต้องบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้บันทึกความร่วมมือ 7 กระทรวง การผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกองทุน Climate Fund การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งในพื้นที่เมือง พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า รวมถึงการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งการจัดการขยะมูลฝอยโดยการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ การจัดการของเสียอันตรายในสถานประกอบการ และการจัดการน้ำเสียชุมชนและโรงงานอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังขอให้ทุกส่วนราชการร่วมกันปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการปลูกป่าและปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการส่งเสริมและสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และประชาชน ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”